ข่าวสารกรุงเทพฯ

ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน …



ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566

ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566

การเมือง/มั่นคง

นายกรัฐมนตรี ขอให้รอฟังการแถลงผลงาน 2 เดือนของรัฐบาลวันพรุ่งนี้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการแถลงผลงานตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาของรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ (9 พ.ย.66) โดยขอให้รอฟัง จะมีการแถลงผลงานทุกเรื่องที่ได้ทำมา ส่วนการนัดพรรคร่วมรัฐบาลรับประทานอาหารช่วงค่ำวันนี้ เป็นวงเล็ก 10 คน พร้อมยืนยันถึงความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลยังดี ไม่มีปัญหา ย้ำว่าอยากจัดให้มีการรับประทานอาหารร่วมกันเดือนละครั้ง หรือสองเดือนครั้ง เพื่อมาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชน ต้องฟังคำแนะนำของประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ก็เป็นภาคส่วนที่สำคัญมาร่วมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ ขณะนี้หัวหน้าพรรคทุกพรรคได้ตอบรับคำเชิญแล้ว ย้ำว่าจะมาเล่าให้สื่อมวลชนฟังอย่างแน่นอน

เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค สร้างรายได้สะสมให้ประเทศกว่า 9 เเสนล้านบาท

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2566 มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งผลปรากฏว่าสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย สอดคล้องกับการประเมินดังกล่าว โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 557,554 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 66) เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 10.26 หรือเพิ่มขึ้น 51,882 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทั้งสิ้น 954,239 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ จีน รัสเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ

ทั้งนี้ เป็นผลจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งการยกเลิกบัตร ตม.6 ณ ด่านสะเดาเป็นการชั่วคราว การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ Visa Free ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน อินเดียและไต้หวัน รวมถึงการขยายวันพำนักให้กับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชื่นชมความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันสนับสนุนการทำงานทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผลสำเร็จจากมาตรการเชิงรุกต่างๆ ของรัฐบาล

หอการค้าไทย เชื่อมโยงเครือข่ายทั่วประเทศ รับแรงงานภาคเกษตรไทยในอิสราเอล เข้าทำงาน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาคเอกชน สถาบันการเงินและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้หารือถึงแนวทางการช่วยเหลือแรงงานไทยภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในอิสราเอล ให้สามารถกลับเข้าสู่ตลาดการจ้างงานของไทยและถือเป็นการช่วยถ่ายทอดทักษะและองค์ความรู้เพื่อยกระดับภาคการเกษตรไทย โดยได้ทำการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีจากแรงงานอิสราเอลสู่การพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน ธ.ก.ส. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดเตรียมแผนความพร้อมในการดูแลคนไทยกลุ่มแรงงานเกษตรที่อพยพกลับจากอิสราเอล ผ่านการดำเนินงานภายใต้ชื่อ “โครงการส่งเสริมฝีมือแรงงานเกษตรไทยในต่างแดนกลับคืนถิ่น” ซึ่งจะมีการพิจารณาแรงงานเข้าร่วมโครงการฯ แบ่งเป็น 3 แนวทางตามความสมัครใจ ได้แก่ ปั้นสู่ครูพี่เลี้ยง ป้อนสู่กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร และปูทางอาชีพสู่บ้านเกิด

ทั้งนี้ หอการค้าไทย จะเชื่อมโยงแรงงานที่มีทักษะตรงกับความต้องการ เข้าสู่การจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทสมาชิกของหอการค้าฯ อาทิ บ.มิตรผล บ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CP) บ.สยามคูโบต้า เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่งพร้อมเดินทางกลับประเทศและสามารถมีอาชีพและรายได้ที่สูงตามศักยภาพต่อไป

เกษตรกรรม/สิ่งแวดล้อม

กรมปศุสัตว์ บุกทลายแหล่งผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์เถื่อน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มุ่งแก้ไขปัญหาอาหารสัตว์ราคาแพง

นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ชุดเฉพาะกิจกองสารวัตรและกักกัน สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบแหล่งผลิตอาหารสัตว์ในพื้นที่อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยได้รับเบาะแสว่า มีการผลิตและขายอาหารสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์

ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่าเป็นสถานที่ผลิตอาหารสัตว์ที่ไม่มีใบอนุญาตผลิตฯ และขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ชุดเฉพาะกิจกรมปศุสัตว์ ได้อายัดวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้องสงสัย จำนวน 12,000 กิโลกรัม และเครื่องบด เครื่องผสมอาหารสัตว์ จำนวน 4 เครื่อง มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท พร้อมเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการกรมปศุสัตว์และให้ผู้ประกอบการนำเอกสารหลักฐานมาแสดงแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ทำบันทึกอายัดไว้ หากไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานมาแสดงแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อธิบดีกรมปศุสัตว์ เน้นย้ำว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพง ต้นทุนในการผลิตสินค้าปศุสัตว์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบแก่ผู้ประกอบการ เกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งด้านคุณภาพและความปลอดภัย โดยกรมปศุสัตว์ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุน ส่งเสริมและใช้วัตถุดิบทดแทนภายในประเทศ ในการผลิตอาหารสัตว์ ตลอดจน กำกับ ดูแล ด้านคุณภาพมาตรฐานอาหารสัตว์ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ เพื่อความปลอดภัยต่อสัตว์และผู้บริโภค และหากพบการกระทำผิด จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยสามารถแจ้งเบาะแสการกระทำผิดได้ทาง Application DLD 4.0

สังคม

สคบ.ย้ำชัด แบบเรียน หนังสือ ไม่ได้กำหนดเป็นสินค้าที่ต้องมี มอก. แต่ต้องให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กและข้อมูลข่าวจากเว็บไซต์หนึ่ง ไม่พอใจ ประกาศจากคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ที่กำหนดให้หนังสือ แบบเรียน ต้องมี มอก. และกระทรวงอุตสาหกรรมควรยกเลิก” นั้น ทาง สคบ.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เนื้อหาที่เผยแพร่ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคมและส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในวงกว้าง เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจาก สคบ. เพียงกำหนดให้สินค้าที่ควบคุมฉลาก ต้องให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อผู้บริโภค ไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรฐานของสินค้าแต่ประการใด ในเรื่องดังกล่าวอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

ทั้งนี้ ตามข้อสั่งการของนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำชับให้ สคบ. ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดทันทีภายหลังจากที่ทราบข่าว ซึ่งเบื้องต้นได้ทำการชี้แจงผ่านทางเฟซบุ๊กของ สคบ. แล้วเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2566 โดยระบุเนื้อหาว่า คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง ผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้กำหนดให้แบบเรียน หนังสือ เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ในการให้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า รวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้า และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงแก่ผู้บริโภค เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อสินค้า โดยข้อมูลที่ระบุในฉลากเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เช่น ชื่อประเภทหรือชนิดของสินค้าที่แสดงให้เข้าใจได้ว่าสินค้านั้นคืออะไร ชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเพื่อขาย สถานที่ตั้ง ในกรณีที่เป็นสินค้านำเข้า ให้ระบุชื่อประเทศที่ผลิต ราคา ปริมาณ วิธีใช้ ข้อแนะนำ ราคา เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลที่เพียงพอในการเลือกซื้อสินค้า

อย่างไรก็ตาม สคบ. จะนำเสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและจะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจและประโยชน์ที่ผู้บริโภคได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมายต่อไป

กรมการจัดหางาน เตือนภัยนายหน้าเถื่อนระบาดหลอกคนไทยทำงานไต้หวัน

นายสมชาย มรกตศรีวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากกรณีแรงงานไทย 3 ราย ตกเป็นเหยื่อนายหน้าเถื่อนหลอกไปทำงานไต้หวัน โดยเสียค่าดำเนินการรายละ 50,000 บาท สุดท้ายไม่ได้ทำงานตามที่ตกลงและตั๋วเครื่องบินขากลับที่นายหน้าเตรียมไว้ให้ยังเป็นตั๋วปลอม เมื่อกลับถึงประเทศไทยจึงเข้าร้องทุกข์และแจ้งความดำเนินคดีกับนายหน้าเถื่อนคนดังกล่าว จากเรื่องนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอาผิดกับผู้หลอกลวงตามกฎหมาย ข้อหาหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และการหลอกลวงได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยที่ผ่านมากรมการจัดหางาน ตรวจสอบ เฝ้าระวังและประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับการหลอกลวงคนหางานในทุกช่องทางมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีคนไทยถูกหลอกลวงมาตลอด กรมการจัดหางาน ขอย้ำเตือนให้คนไทยที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ เดินทางไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงหรือถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ เพราะเมื่อเดินทางไปทำงานถูกต้องตามกฎหมายแรงงานไทยจะได้รับการคุ้มครองตามสิทธิที่พึงมีและทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ส่วนวิธีเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มี 5 วิธี ได้แก่ บริษัทจัดหางานจัดส่ง กรมการจัดหางานจัดส่ง แรงงานแจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงาน และนายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงาน ทั้งนี้หากต้องการใช้บริการผ่านบริษัทจัดหางาน ขอให้ตรวจสอบรายชื่อบริษัทฯกับกรมการจัดหางานก่อน โดยปัจจุบันมีบริษัทจัดหางานให้คนไปทำงานในต่างประเทศ ที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายให้เลือกใช้บริการถึง 143 แห่ง ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด

หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

สสส.ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเครือข่าย สสส.โลก INHPF สานพลังขับเคลื่อนนวัตกรรม สู่สุขภาวะที่เป็นธรรมของคนทุกกลุ่ม

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายกองทุนสร้างเสริมสุขภาพนานาชาติ (the International Network of Health Promotion Foundations-INHPF) จัดการประชุมเครือข่ายกองทุนสร้างเสริมสุขภาพนานาชาติ ครั้งที่ 20 ประจำปี 2566 The 20th International Network of Health Promotion Foundations 2023 หรือ the 20th INHPF Annual Meeting 2023 ภายใต้แนวคิด“ก้าวต่อไปของเครือข่าย สสส. โลก: ขับเคลื่อนนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพสู่สุขภาวะที่เป็นธรรม” The Next Step of INHPF: Accelerating Health Promotion Innovations towards Equitable Well-being ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. โดยมีผู้เข้าร่วมจากนานาประเทศกว่า 300 คน

รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กรรมการกองทุน สสส. และประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 7 สสส. กล่าวว่า สสส. ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเครือข่ายเวทีระดับนานาชาติ INHPF เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยเป็นเจ้าภาพครั้งแรกในปี 2556 ซึ่งครบ 1 ทศวรรษพอดี ในโลกปัจจุบัน ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพมีความท้าทายด้านสุขภาพเกิดขึ้นมากมาย อาทิ ภาระโรคซ้ำซ้อน การเกิดเชื้อโรคอุบัติใหม่ โรคระบาดใหญ่ทั่วโลก เช่น โควิด-19 ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร การเปลี่ยนแปลงเชิงระบาดวิทยา วิกฤตเศรษฐกิจ และสังคม ล้วนเพิ่มความท้าทายการทำงานสร้างสุขภาพมากขึ้น

โดยแนวทางการส่งเสริมสุขภาพที่เคยใช้ได้ผลในหลายประเทศ รวมทั้งไทยต้องปรับให้สอดรับกับสถานการณ์สุขภาพที่เปลี่ยนไป จำเป็นต้องพัฒนาแนวคิด นวัตกรรมสร้างสุขภาวะ เชื่อมความร่วมมือข้ามองค์กร ข้ามพรมแดนประเทศ และในวันนี้เป็นวันครบรอบ 22 ปี ของการจัดตั้ง สสส. ตั้งแต่ปี 2544 ได้แสดงบทบาทกลไกนวัตกรรมที่สนับสนุนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพทั่วประเทศ จนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สสส. ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และบทเรียนการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพ ช่วยส่งเสริมความร่วมมือของสมาชิก องค์กรพันธมิตร นำไปสู่การประกาศปฏิญญาครั้งแรกของเครือข่าย INHPF ยกระดับมุ่งสู่สุขภาวะที่เป็นธรรมของคนทุกกลุ่ม มุ่งมั่นร่วมกันขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ภูมิภาคและระดับโลก

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า 23 ปีที่แล้ว เครือข่าย INHPF หรือ สสส.โลก ถูกก่อตั้งขึ้น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพประเทศต่างๆ ที่สนใจงานสร้างเสริมสุขภาพประชากรผ่านการดำเนินงานของกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ ก้าวต่อไปของเครือข่าย สสส.โลก จะมุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพสู่สุขภาวะที่เป็นธรรม มีแรงบันดาลใจจากมุมมองของทศวรรษต่อไปของเครือข่าย INHPF ที่ต้องขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงนวัตกรรม เพื่อสร้างสรรค์สุขภาวะที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน การประชุมครั้งนี้ เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่าย INHPF ผ่านการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือซึ่งกันและกัน ร่วมประกาศจุดยืน ยกระดับงานสร้างเสริมสุขภาพสู่วาระสุขภาพระดับโลก

ซึ่งสุขภาวะที่เป็นธรรมคือ การให้สุขภาพเป็นสิทธิของทุกคนโดยไม่แบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นสภาวะสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือความแตกต่างทางเชื้อชาติ มีเป้าหมายเน้นการปรับปรุงระบบสุขภาพ ส่งเสริมสุขภาพที่ไม่พึ่งแต่ระบบรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่ยังเน้นปัจจัยทางสังคม และเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของบุคคล และชุมชน ความมุ่งมั่นของเครือข่าย INHPF คือ การพัฒนาแนวทางใหม่ในการสร้างเสริมสุขภาพที่เป็นธรรม และมีเป้าหมายที่ให้สุขภาพเป็นสิทธิของทุกคนในทุกสังคม อาทิ การขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้น การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว วิวัฒนาการของโรครูปแบบต่างๆ

นพ.อเลสซานโดร ดีเมโย ประธานเครือข่ายกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพนานาชาติ The International Network of Health Promotion Foundations – INHPF และผู้จัดการกองทุน สสส. แห่งรัฐวิคตอเรีย ออสเตรเลีย กล่าวว่า ตลอดระยะ 23 ปีที่ผ่านมาเครือข่าย INHPF ได้รับการพัฒนาเป็นกลไกที่แข็งแกร่ง สำหรับการทำงานร่วมกัน และแบ่งปันการเรียนรู้ระหว่างสมาชิกที่หลากหลาย ที่ผ่านมาสมาชิกเครือข่ายได้ร่วมกัน ทำหน้าที่บทบาทเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศต่างๆ ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อเป็นกลไกนวัตกรรม เป็นโมเดลที่สำคัญรับคณะศึกษาดูงาน แบ่งปันบทเรียนองค์ความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพแก่นานาประเทศทั่วโลก จัดการเวทีวิชาการและเวทีคู่ขนานการประชุมระดับโลก ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อเผยแพร่ต้นแบบแนวปฏิบัติที่ดีของกองทุนสร้างเสริมสุขภาพในเครือข่ายฯ ส่งเสริม และพัฒนาความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่สำคัญ อาทิ องค์การอนามัยโลก และ มูลนิธิเพื่อสังคมอาเซียนปลอดบุหรี่ (SEATCA) ในการผลักดันการดำเนินการร่วมที่สำคัญ โดยเฉพาะการเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศต่างๆ ในการจัดตั้งกองทุนที่ยั่งยืนในการสร้างเสริมสุขภาพ




ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา

ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา

แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว



Source link