โรงแรมเอราวัณ: เหตุชาวเวียดนามเสียชีวิต 6 ราย ที่ รร. ย่านราชประสงค์ ยังไม่ยืนยันเป็นการวางยาพิษ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงเหตุพบชาวเวียดนามเสียชีวิต 6 ราย ภายในโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ย่านราชประสงค์ ยืนยันไม่ใช่เหตุการปล้นทรัพย์หรือประทุษร้ายต่อนักท่องเที่ยว ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังไม่ยืนยันว่าเป็นการวางยาพิษ หลังจากพบถ้วยเปล่าที่มีการดื่มเครื่องดื่มจนหมดทั้งหมด 6 ถ้วย
เมื่อเวลาประมาณ 21.40 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวที่โรงแรมที่เกิดเหตุว่า เมื่อเวลา 16.30 พบศพชาวเวียดนามทั้งหมด 6 ราย เป็นสัญชาติเวียดนาม 4 และสัญชาติอเมริกัน 2 ราย จากการตรวจสอบเบื้องต้นสินนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้ว 24 ชั่วโมง และในสถานที่เกิดเหตุไม่มีการชิงทรัพย์ หรือประทุษร้าย แต่อาจเป็นการรับประทานบางอย่างเข้าไป
นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า อาจมีบุคคลเป็นคนเวียดนามอีกคน เป็นคนที่ 7 ยังไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ โดยทางตำรวจจะสืบสวนต่อไป
“ไม่เกี่ยวกับการปล้นหรือทำร้าย และยังต้องพิสูจน์ทราบต่อไป” นายเศรษฐา ระบุ
ด้าน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดได้เข้าพักที่โรงแรมระหว่างวันที่ 13-14 ก.ค. และมีกำหนดเช็คเอาต์ออกในวันนี้ (16 ก.ค.) จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือรื้อค้นเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์สิน
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว มันเป็นเรื่องการก่อเหตุภายในสถานที่ปิด ไม่ใช่สถานที่เปิด และไม่ใช่การประสงค์ต่อทรัพย์สิน”
ผบช.น. กล่าวด้วยว่า สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะไล่ดูเส้นทางการเดินทางผู้เสียชีวิตทั้งหมดตั้งแต่สนามบินมาจนถึงโรงแรม โดยอาศัยกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานสำคัญ เพื่อลำดับเหตุการณ์ของผู้เสียชีวิต
เร่งหาบุคคลที่มีชื่อจองเข้าพักคนที่ 7
พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) แถลงรายละเอียดเกี่ยวกับที่เกิดเหตุว่า วันนี้ (16 ก.ค.) แม่บ้านของโรงแรมได้เข้าไปทำความสะอาดห้องพักห้องหนึ่งในบริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นห้องที่ต้องเช็คเอาต์ในช่วงบ่าย แต่ประตูถูกล็อกจากด้านใน แม่บ้านจึงเข้าทางระเบียง เมื่อเปิดเข้าไปพบว่ามีผู้เสียชีวิต ทางโรงแรมจึงแจ้งสถานีตำรวจในพื้นที่ ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุเมื่อเวลา 17.00 น.
การตรวจพบของตำรวจ ยืนยันข้อมูลเบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตในห้องทั้งหมด 6 คน ในบริเวณโซนห้องรับแขกด้านหน้า 4 คน และในห้องนอน 2 คน เป็นชาย 3 คน และหญิง 3 คน คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วเกิน 24 ชม.
พล.ต.ท.ธิติ ระบุด้วยว่า เบื้องต้นตรวจสอบไม่พบร่องรอยบาดแผลหรือร่องรอยการต่อสู้ทำร้าย หรือร่องรอยการรื้อค้นเพื่อหวังเอาทรัพย์
“ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีการทำร้าย ทรัพย์สินเท่าที่เห็นไม่มีการรื้อค้น เบื้องต้นสันนิษฐานว่าไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์… มีเพียงผู้เสียชีวิตรายเดียวที่มีบาดแผลบนใบหน้า คาดว่าเกิดจากการล้มฟาดวัสดุของแข็ง ไม่ใช่เกิดจากการทุบตี” ผบช.น. กล่าว พร้อมเปิดเผยด้วยว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 คน เป็นชาย 1 หญิง 1 พยายามมาที่ประตูแต่เสียชีวิตเสียก่อน
ส่วนการตรวจสอบข้อมูลการเข้าพักในโรงแรม พบว่ามีการจองเข้ามาทั้งหมด 7 คน โดยมีการเข้ามาเช็คอินสองชุดในวันที่ 13 และ14 ก.ค. รวมทั้งสิ้น 5 คน โดยเข้าพักที่ชั้น 7 จำนวน 4 ห้อง และชั้น 5 อีก 1 ห้อง แต่พบร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 คน ทางฝ่ายสืบสวนจึงตั้งประเด็นว่าบุคคลที่ 7 ที่จองเข้ามาเป็นใครได้เข้าพักหรือไม่ หรือได้เดินทางเข้าประเทศไทยหรือไม่
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวต่อไปว่าจากการตรวจที่เกิดเหตุพบว่าที่ห้องพักชั้น 7 ได้มีการเก็บกระเป๋าและลงไปรวมที่ห้องชั้น 5 ซึ่งสันนิษฐานว่าต้องรู้จักกัน แต่ไม่ได้มีการเดินทางออกไป เพราะบุคคลที่นัดหมายให้มารับไม่พบตัว และโรงแรมให้ข้อมูลว่าไม่ได้มีการลงมาชำระค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ ห้องพักชั้น 7 มีกำหนดเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมในวันที่ 15 ก.ค. ส่วนชั้น 5 กำหนดเช็คเอาต์ 16 ก.ค.
พบมีการสั่งอาหาร 24 ชม. ก่อนพบศพ-พุ่งเป้าตรวจสอบขวดน้ำสแตนเลส
ส่วนการเสียชีวิตเชื่อว่า ทั้งหมดเสียชีวิตหลังจากเวลา 13.53 น. ของวานนี้ (15 ก.ค.) เพราะมีการสั่งอาหารให้มาส่งที่ห้องชั้น 5 ซึ่งเป็นสถานที่พบศพ
ในสถานที่เกิดเหตุพบจานอาหาร 6 จาน ที่ไม่ได้มีการรับประทานวางอยู่ในห้องรับแขก และพบถ้วยของเครื่องดื่มลักษณะคล้ายการชงผสมทั้งหมด 6 ถ้วย อยู่บริเวณโต๊ะจัดเตรียมและโต๊ะอาหาร ทั้งหมดมีการดื่มหมดแล้ว โดยที่ก้นถ้วยพบว่ามีเศษผงของเครื่องดื่มอยู่
ส่วนขวดน้ำสแตนเลสจำนวน 2 ขวด ที่พบบนโต๊ะอาหารไม่ใช่ของโรงแรม ขณะที่การตรวจสอบในห้องน้ำพบกระปุกชาที่เพิ่งถูกซื้อมาเป็นชาไทยอู่หลง พร้อมกับน้ำเกลือแร่ 1 ขวด และน้ำผึ้ง 1 ขวด ทั้งนี้วัตถุพยานทั้งหมด เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เก็บไปตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว
“มีวัตถุต้องสงสัยอยู่สองอัน เป็นขวดสแตนเลสสองขวด ซึ่งไม่ใช่วัตถุของทางโรงแรม ไปปรากฏอยู่ในห้อง เครื่องดื่มที่อยู่ข้างในนั้นยังไม่ได้เปิดตรวจพิสูจน์” ผบช.น. กล่าว
6 ปริศนาที่ตำรวจกำลังสืบสวน
ในช่วงตอบคำถามต่อสื่อ ผบช.น. และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ(ผบช.สพฐ.ตร.) ระบุถึงการตรวจสอบลำดับเวลาก่อนเกิดเหตุ และวัตถุพยานสำคัญในแต่ละประเด็น ได้แก่
- ผู้เกี่ยวข้องคือใครบ้าง และมีพยานเห็นความผิดปกติหรือไม่
ในการสั่งอาหารมื้อสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 ก.ค. พนักงานของโรงแรมได้เห็นความผิดปกติหรือไม่
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่าอยู่ระหว่างการเรียกพนักงานโรงแรมที่ขึ้นไปเสิร์ฟอาหารและถือบิลไปวางมาให้ปากคำ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากพนักงานโรงแรมจะไม่ได้เห็นภาพทั้งหมด พนักงานสอบสวนจึงต้องตรวจสอบช่วงเวลาการเข้า-ออก ของห้องพักจากกล้องวงจรปิด โดยจะมีการตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่วันที่เข้าเช็คอินในวันที่ 14 ก.ค.
“เมื่อวันที่ 14 (ก.ค.) เขาไปไหนกัน และใครเป็นคนพาไป มีการเช่ารถไปขับหรือไม่ หรือขับรถเอง หรือเรียกแกร็บ… เรากำลังตามบุคคลเหล่านี้มาเพื่อยืนยันว่า ทั้งหมดมี 6 หรือ 7 คน” พล.ต.ท.ธิติ กล่าว
ผบช.น. ชี้ด้วยว่า สำหรับไกด์คนเวียดนามที่มารอรับเป็นประเด็นที่ต้องสืบสวนด้วยว่า มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับกลุ่มผู้เสียชีวิต
“ไกด์ที่เราได้รูปภาพมาไม่ตรงกับคนที่มาตอนหัวค่ำ คนที่ลงไปตอนหัวค่ำเขาถูกให้มาตรวจสอบ และมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมารับแขกกลุ่มนี้ไปสนามบิน แต่มาแล้วติดต่อ (กลุ่มผู้เสียชีวิต) ไม่ได้” จึงต้
ส่วนความเกี่ยวข้องของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกล่าวว่า “เราพบว่ามีความสอดคล้องของชื่อ อาจจะเป็นพี่น้องกันทั้งหมด แต่ต้องขอตรวจสอบก่อน”
- บุคคลที่ 7 ที่มีชื่อจองเข้าพัก ได้เข้าพักหรือมาไทยด้วยหรือไม่
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่า การจองเข้าพัก 7 คน เช็คอินทั้งหมด 5 คน และการพบศพ 6 ราย ตัวเลขมีความเคลื่อน จึงต้องหาว่าบุคคลที่ 7 มีอยู่หรือไม่ เป็นใครโดยต้องพิสูจน์ผ่านที่นั่งบนสายการบินและการผ่านเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ว่าเดินทางเข้ามาในไทยหรือไม่
“เราไม่ตัดประเด็นคนนี้ เรายังไว้ว่าคนที่ 7 เราต้องหาว่าคนที่ 7 มีหรือไม่”
- ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเข้าไทยด้วยจุดประสงค์ใด
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่ายังต้องหาข้อมูลประวัติและอาชีพของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย จากสถานทูตเวียดนาม และเข้ามาไทยด้วยวัตถุประสงค์อะไร
“การเข้ามาวันเดียว เราอยากตั้งประเด็นว่า ถ้าคนจะมาเที่ยวจะมา 14 กลับ 15 ไหม เข้ามา 14 แล้วกลับ 15 เขามาเที่ยวกันหรือมานัดพบญาติ หรือมานัดพูดคุย เช็คอิน 14 เอาต์ 15 ถ้ามาเที่ยวเมืองไทยปกติ 3 วัน เป็นไปได้ แต่มา 14 กลับ 15 เราก็ตั้งประเด็นว่า มาทำอะไร มาทำธุรกิจอะไรหรือเปล่า”
- มีบุคคลภายนอกเข้าไปก่อเหตุหรือไม่
พล.ต.ท.ธิติ ระบุว่าจากการตรวจร่องรอยนิ้วมือ นิ้วเท้า ไม่พบว่ามีบุคคลภายนอกเข้าไปในที่เกิดเหตุ
“มีความเป็นไปได้ว่าจะกระทำโดยที่เกิดจากข้างใน จะมีบุคคลไปซ่อนตัวอยู่หรือเข้าไปด้วยวิธีการใด ก็เป็นการกระทำจากข้างใน (ห้อง)”
- วัตถุพยานต้องสงสัยคืออะไร
“มีวัตถุต้องสงสัยอยู่สองอัน เป็นขวดสแตนเลสสองขวด ซึ่งไม่ใช่วัตถุของทางโรงแรม ไปปรากฏอยู่ในห้อง เครื่องดื่มที่อยู่ข้างในนั้นยังไม่ได้เปิดตรวจพิสูจน์” ผบช.น. กล่าว
ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร.) กล่าวว่า ต้องตรวจสอบทุกอย่าง วัตถุพยานที่ก็บไป ได้แก่ แก้วน้ำ (ถ้วยเครื่องดื่ม) 6 ใบ ขวดน้ำ น้ำผึ้ง ต้องตรวจทุกอย่างพบสารประเภทใดหรือไม่
“อาหารไม่มีการแตะต้อง แต่ว่าเครื่องดื่มมีการดื่ม อย่างน้อยที่เห็นก็ชัดเจนว่า แก้วกาแฟทุกแก้วมีร่องรอยการดื่มและดื่มจนหมดทุกแก้วทั้งหกแก้ว” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าว
สำหรับการทำงานของฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน จะเก็บวัตถุพยานทั้งหมด ทั้งร่องรอยลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ อาหาร เครื่องดื่มที่ดื่มไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ก็ต้องเก็บไปตรวจว่ามีส่วนประกอบที่เป็นพิษหรือไม่
- สิ่งที่ทำให้เสียชีวิตอยู่ในถ้วยเครื่องดื่มหรือไม่
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่า “ยังไม่ฟันธงแบบนั้น ยังต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ทั้งหมด” เนื่องจากยังไม่รู้ว่า ในห้องเกิดเหตุมีสารอะไรและอยู่ที่ตรงไหนอีก
“อาหารไม่ได้ถูกแตะ แต่เครื่องดื่มไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตอนนี้ส่งตรวจพิสูจน์ทั้งหมด ทั้ง 6 แก้ว แยกเอาไปตรวจทีละแก้ว ๆ” พล.ต.ท.ธิติ ระบุ พร้อมยืนยันว่าไม่พบซอง หรือเกล็ดตัวยา ในที่เกิดเหตุ พบแต่เพียงวัตถุลักษณะเป็นผงอยู่ที่ก้นของถ้วยกาแฟเท่านั้น