ดาราสาวไต้หวัน : สรุปดรามาดาราสาวไต้หวันถูกตำรวจรีดไถเงิน 27,000 บาท ประกาศ “ไม่เหยียบไทยอีก”
เพียงไม่ถึงสัปดาห์หลังสังคมไทยพูดถึงการอำนวยความสะดวกระดับ “VVIP” ของตำรวจไทยให้นักท่องเที่ยวสาวชาวจีน มาวันนี้วงการสีกากีถูกวิจารณ์หนักยิ่งขึ้นไปอีก หลังดาราสาวชาวไต้หวัน ที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยในช่วงเดือน ม.ค. 2566 เปิดใจว่า ถูกตำรวจไทย “รีดไถเงิน 27,000 บาท”
นักแสดงสาวชาวไต้หวันคนดังกล่าว คือ อัน อวี๋ฉิง หรือ ชาลีน อัน (Chalene An) ที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ดาราสาวโพสต์ในแอปพลิเคชั่นอินสตาแกรมว่า “ก่อนกลับไต้หวัน 1 วัน ขณะนั่งรถแท็กซี่กับเพื่อน ๆ กลับโรงแรม ระหว่างทางช่วงราว ตี 1 กว่า ๆ กลับถูกตำรวจที่ตั้งด่านเรียกให้รถหยุดและขอค้นตัว ค้นกระเป๋า โดยมีการมาจับค้นที่กระเป๋ากางเกง และกระเป๋าสตางค์ มีการถามถึงเรื่องวีซ่า”
เมื่อเธอยื่นหนังสือเดินทางให้ตำรวจและอธิบายว่าได้รับวีซ่า VOA หรือ Visa on Arrival เข้าประเทศไทย แต่ตำรวจกลับไม่ยอมรับวีซ่า VOA ของเธอและเพื่อน ๆ โดยอ้างว่า ต้องเป็นวีซ่าจริง มีตราและพิมพ์บนหนังสือเดินทางเท่านั้น
พวกเธอพยายามอธิบายกับตำรวจที่มีท่าทีต้องสงสัย จนสถานการณ์ยื้อไปนานกว่า 2 ชั่วโมง ท้ายสุด ตำรวจพาเธอไปที่ลับตาคน แล้วระบุว่า “ทั้งหมดในรถต้องจ่ายมา 27,000 บาท ถึงจะยอมปล่อย”
“ไม่คิดเลยว่า ไปเที่ยวปีใหม่ที่ไทยหวังเจอประสบการณ์ดี ๆ แต่กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุดในชีวิต และฉันจะไม่ไปเหยียบเมืองไทยอีก”
“ลาก่อน กรุงเทพห่วย ๆ” ดาราสาวระบุในอินสตาแกรม
จนถึงวันนี้ เกิดความคืบหน้า การให้สัมภาษณ์เปิดใจ และคำชี้แจงมากมายของตำรวจ จนนำมาถึงจุดที่ ผบ.ตร. กล่าวขอโทษออกสื่อ และมีการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ใช่ฐานรีดไถเงิน แต่เพราะไม่บังคับใช้กฎหมาย กรณีบุหรี่ไฟฟ้า เรื่องนี้จึงยังไม่จบ
ตำรวจเปิดเผยหลักฐาน ดาราสาวมีบุหรี่ไฟฟ้า
ข้อมูลกล้องวงจรปิด
วันที่ 30 ม.ค. สำนักข่าวหลายแห่งของไทยเปิดเผยภาพที่ได้รับจากตำรวจ เป็นภาพกล้องวงจรปิดภายหลังดาราสาวชาวไต้หวัน ถูกตำรวจตรวจค้นหน้าสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ริมถนนรัชดาภิเษก เวลา 3.12 น. ของวันที่ 5 ม.ค. 2566
โดยเวลาราว 3.46 น. ดาราสาวกับเพื่อนนั่งแท็กซี่มาตลาดห้วยขวาง เพื่อเดินเที่ยวต่อ และปรากฎภาพว่าถือบุหรี่ไฟฟ้าไว้
ไม่เพียงเท่านั้น ภาพกลอ้งวงจรปิดบริเวณที่พักของอัน ยู๋ชิง เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2565 พบว่า ดาราสาวไต้หวันถือสิ่งคล้ายบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ และมีลักษณะคล้ายสูบ
ภาพจากลิฟต์ที่พัก ระหว่างวันที่ 4-5 ม.ค. ยังปรากฎภาพชาลีน อัน ถือสิ่งของเดียวกัน ซึ่งบางสำนักข่าวตั้งข้อสงสัยว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้า
คำกล่าวอ้างของ ชาลีน อัน
ชาลีน อัน ให้สัมภาษณ์กับสื่อไต้หวันว่า “พอตำรวจเอาเงินไปแล้ว พวกเขาก็ยัดบุหรี่ไฟฟ้ามาให้ฉัน ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไรในตอนนั้น แต่ก็ถูกตำรวจถ่ายรูป… ตำรวจควบคุมตัวนักท่องเที่ยว เพียงเพราะพวกเราพูดภาษาไทยไม่ได้ และกดดันให้ต้องจ่ายเงินโดยดี”
แต่ถ้าคลิปกล้องวงจรปิดเป็นบุหรี่ไฟฟ้าจริง หมายความว่า เธอถือครองบุหรี่ไฟฟ้าอยู่แล้ว
คำชี้แจงของตำรวจ
วันที่ 27 ม.ค. 2566 ภายหลังตำรวจไทยแถลงข่าวหลายครั้ง และพยายามชี้แจงว่า ดาราสาวคนนี้กระทำความผิด โดยเฉพาะ ถือครอง “บุหรี่ไฟฟ้า”, ชาลีน อัน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวันตอบโต้ว่า “เธอถูกยัดข้อหา”
พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ยืนกรานว่ามีการตั้งด่านจริง บริเวณหน้าสถานทูตจีน พร้อมชี้แจงว่า พบนักท่องเที่ยวต่างชาติพกบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่จึงแจ้งว่าผิดกฎหมาย แต่คุยไม่เข้าใจภาษา เพราะพูดภาษาจีน และมีการอัดเสียงไว้ แต่ยังหาไม่เจอ
ตำรวจไทยกำลังโกหก… รีดไถเงินจริงหรือไม่
คำกล่าวอ้างของชาลีน อัน
“ผู้บัญชาการของตำรวจไทยแถลงข่าว แล้วบอกว่าไม่มีการตั้งด่าน ต่อมา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็บอกว่ามีการตั้งด่านจริง” ชาลีน อัน ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Setn ของไต้หวัน
“ตำรวจไทยกำลังโกหก และฉันไม่ใช่เหยื่อคนเดียว มีเพื่อนชาวไต้หวันอีก 3 คนที่ไปประเทศไทยในช่วงปีใหม่ แล้วถูกรีดไถเงินหนักกว่าอีก มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว”
เธอยังเปิดเผยข้อมูลใหม่เพิ่มเติมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ตอนนั้น มีตำรวจ 7 นายอยู่บนถนน และทุกคนมีอาวุธปืน ด้วยท่าดีดูโกรธเกรี้ยวตลอดเวลา โดยพวกเขาไม่ยอมให้เธออัดวิดีโอ
ชาลีน อัน ระบุว่า เธอได้ติดต่อตำรวจสากลไปแล้ว เพื่อให้เข้าดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดเพิ่มเติม
การเปิดเผยของนายชูวิทย์
วันที่ 30 ม.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เปิดเผยว่ามีหลักฐานว่ามีการรีดทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันจริง
“มีผู้หญิงคนไทย แฟนเป็นคนสิงคโปร์ ที่ไปร่วมวงสังสรรค์กินเหล้ากับดาราสาวไต้หวัน.ให้การยืนยันว่า ได้เป็นผู้จ่ายเงินจำนวน 27,000 บาท ให้กับตำรวจที่ตั้งด่านด้วยตัวเอง และมีคลิปยืนยันด้วย” นายชูวิทย์ โพสต์ในเฟซบุ๊ก
“ตำรวจห้วยขวางชุดที่ตั้งด่าน เพิ่งรับสารภาพสดๆ ร้อนๆ ว่ารีดเงิน 27,000 บาทจริง”
นายชูวิทย์ ยังกล่าวเชิงกล่าวหาว่า ผบช.น. พล.ต.ท. ธิติ แสวสว่าง ได้สั่งการให้ผู้บังคับการ น.1 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณผู้กำกับ สน.ห้วยขวาง กระทำการดังนี้
- ลบคลิปที่ด่านหน้าสถานทูตจีน.
- ลบคลิปกล้องบนหมวกของตำรวจที่ด่าน
- กล่อมให้คนขับแกร๊บยืนยันว่าดาราสาวไต้หวันเมามาก พูดไม่รู้เรื่อง อยู่ที่ด่านแค่ 40 นาที แล้วอ้างว่ากล้องหน้ารถบันทึกได้แค่ 20 วัน จึงไม่มีภาพ
- ปล่อยคลิปสารพัดเพื่อดิสเครดิตดาราสาวไต้หวัน.5. ตอบโต้ แก้ตัวแทนลูกน้องตัวเอง โยนไปว่าสาวไต้หวันแต่งเรื่อง
คำชี้แจงของตำรวจ
วันที่ 29 ม.ค. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1, พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ร่วมแถลงข่าวกรณี ดาราสาวชาวไต้หวันอ้างว่า ถูกตำรวจตั้งด่านรีดทรัพย์ ตอนนี้ ได้สอบพยานไปแล้วกว่า 10 คน แต่ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียกร้บเงิน
คำขอโทษของตำรวจ และการสั่งย้าย
วันที่ 31 ม.ค. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณี อัน อวี๋ฉิง ดาราสาวไต้หวันที่ระบุว่า ถูกตำรวจไทยรีดไถเงิน โดยตอนนี้ อยู่ระหว่างการสอบสวนพยานต่าง ๆ ยืนยันว่าจะทำตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานใครผิดก็ว่าไปตามผิด ทั้งอาญาและวินัย ทางการปกครองเราก็จะดูว่าใครบกพร่องอะไรบ้าง
“เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีความบกพร่องอะไร ผมในฐานะหัวหน้าหน่วยก็ต้องขอโทษผู้เสียหายกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ผบ.ตร. กล่าว
วันเดียวกันนั้น พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้เซ็นคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ โดยระบุว่า ตามที่ได้ปรากฏการเผยแพร่ภาพวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ กรณี นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันได้ลงข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ได้นั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะ (แท็กซี่) กับเพื่อน เพื่อเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ระหว่างท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันที่ 5 ม.ค. 2566 ประมาณ 02.00 น.
พวกเธอได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจหน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ได้เรียกตรวจคันและพบว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง แล้วเรียกรับเงินสด จำนวน 27,000 บาท แล้วปล่อยตัวไป ไม่ดำเนินคดีตามกฎหมาย
กองบังคับการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบปรากฏว่า มีมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องมีการตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้า แต่ไม่ดำเนินการตรวจยึดเพื่อตรวจสอบหรือจับกุม ซึ่งเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ดังนั้น เพื่อมีให้กระทบต่อการดำเนินการสอบสวนทางวินัยและคดีอาญา รวมถึงมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ จึงให้ข้าราชการตำรวจที่ มีรายชื่อดังต่อไปนี้ ปฏิบัติราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ผู้บังคับการตำรวจนครบาลได้มอบหมาย ประกอบด้วย
- ร.ต.อ. ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
- ร.ต.อ. ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รองสารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
- ด.ต. อธิเวช จุลพันธ์ ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
- ด.ต. กฤษฎา คำมะนา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
- ส.ต.อ. เฉลิมชัย ศิริวังโส ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
- ส.ต.อ. วัชรนนท์ ขาวยอง ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลหัวยขวาง
- ส.ต.อ. นันทวัชร์ สุวรรณา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
จากความทรงจำดี ๆ กลายเป็นเรื่องราวสยองขวัญ
ย้อนกลับไปที่คลิปให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวัน ที่กลายเป็นต้นเรื่อง โดยจากการตรวจสอบสำนักข่าวออนไลน์ไต้หวัน พบว่า มีการรายงานพร้อมคลิปสัมภาษณ์ ชาลีน อัน ในสำนักข่าว 2-3 แห่ง รวมถึง Mnews และ TVBS โดยพาดหัวข่าวว่า “ดาราสาวถูกตำรวจไทยจับ เพื่อขู่ไถเงิน” ขณะที่อินสตาแกรมของชาลีน อัน ที่ใช้ชื่อว่า “Charlene_an517” ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 110,000 คน มีการโพสต์ “สตอรี” เรื่องราวการมาท่องเที่ยวประเทศไทยของเธอ ที่ในภาพหลัง ๆ เป็นการเล่าถึงสิ่งที่เธอกับเพื่อน ๆ เผชิญกับตำรวจไทย
คนในกลุ่มเธอพยายามอัดคลิปเพื่อเป็นหลักฐาน แต่เจ้าหน้าบอกให้ลบคลิป ยื้อไปมาเจรจาตกลงกัน เธอเล่าต่อว่าเขาจะพาไปสถานีตำรวจ เธอก็ตอบว่ายินดีไป แต่ท้ายสุดตำรวจไม่ได้พาพวกเธอไปสถานีตำรวจ
ช่วง 2 ชั่วโมงที่พูดคุยและเจรจากันอยู่นั้น ชาลีน อัน พยายามพูดขอโทษ รวมถึงเป็นภาษาไทยที่เธอพอพูดได้ และกล่าวเชิง “อ้อนวอน” เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิดและกำลังกลัวมาก “มันราวกับหนังเม็กซิกันที่จับผู้ค้ายาเลย” ทั้งที่พวกเธอเป็นแค่นักท่องเที่ยว
ชาลีน อัน เล่าให้สื่อไต้หวันฟังว่า พยายามอ้อนวอนถึงขั้น “เกือบก้มกราบ” และเกือบ “คุกเข่าไหว้” ก่อนที่ตำรวจนายนั้นจะพาเธอไปที่ลับตาคน โดยมีพฤติการณ์หลบกล้องวงจรปิดของสถานเอกอัครราชทูตจีน แล้วรีดไถเงินพวกเธอว่า “ต้องจ่าย 27,000 บาท ถึงจะยอมปล่อย”
เมื่อพวกเธอยอมจ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกแท็กซี่ให้พวกเธอกลับโรงแรม โดยเธอเล่าว่า ใกล้ ๆ ตัวเธอในเวลานั้น มีนักท่องเที่ยวที่คาดว่าเป็นหญิงเกาหลีใต้ 5 คน ที่เจอสถานการณ์คล้ายคลึงกัน
“ฉันอยากเตือนคนไต้หวันว่า จะไปไทยให้ระวัง อย่าพกเงินสดติดตัวในกระเป๋าเยอะ เพราะโดนสุ่มค้นตัวมา หาเรื่องยัดข้อหา พวกนั้นจับดูกระเป๋าเงินก่อน ให้ระวังดี ๆ” ชาลีน อัน ให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวัน หลังโพสต์ในอินสตาแกรมของเธอ กลายเป็นที่พูดถึง
“เพราะพวกเขาขาดรายได้จากการท่องเที่ยวมานานช่วงโควิด พอเปิดประเทศจึงกลายเป็นมีแต่ปัญหาแบบนี้”
ในโพสต์อินสตาแกรมของ ชาลีน อัน ตอนนี้ มีคนไทยเข้าไปคอมเมนต์ และแสดงการขอโทษในฐานะคนไทยหลายคน
ตำรวจฉาวรายวัน
นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ดาราสาวชาวไต้หวันรีวิวเที่ยวประเทศไทยโดยอ้างว่าถูกตำรวจค้นตัวรีดไถเงิน กว่า 27,000 บาทว่า องค์กรตำรวจมีข่าวฉาวรายวัน เปิดปีใหม่มา ก็มีแต่ข่าวทุจริตคอร์รัปชั่นของตำรวจ ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาคล้ายกัน เช่น การรีดไถและปัญหาส่วย
หากดูโครงสร้างภายในของตำรวจ คนที่มีอำนาจสูงสุดไม่ใช่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงอยากตั้งคำถามว่าวันนี้ รัฐบาลกำลังทำอะไร เหตุใดจึงมีปัญหาตำรวจทุจริตและรีดไถรายวัน สำหรับกรณีการรีดไถดาราสาวชาวไต้หวันนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นการทำลายการท่องเที่ยวของประเทศไทย แม้จะมีการตั้งกรรมการสอบแต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีผลสอบที่ชัดเจน แต่ไม่มีการป้องกัน จึงไม่เคยเห็นมาตรการป้องกันที่ชัดเจนหรือเป็นรูปธรรมจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือรัฐบาลชุดนี้
“แล้ว พล.อ. ประยุทธ์ทำอะไรอยู่ไม่มาตอบกระทู้สภา วันนี้อาชีพหลักยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่หรือไม่ หรือเป็นอาชีพสำรองหรืออาชีพเสริมไปแล้ว เพราะไม่ได้สนใจที่จะแก้ปัญหา มีรัฐบาลที่มีก็เหมือนไม่มี นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้าหน้าที่รัฐกร่างได้ถึงขนาดนี้ รีดไถกันอย่างมุมมามโดยไม่ได้แคร์ว่ากฎหมายจะเอาผิดได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจและขอโทษแทนคนไทยที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ซึ่งอาจจะมีนักท่องเที่ยวอีกหลายรายเกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ แต่ไม่มีโอกาสได้พูดหรือโพสต์ลงโซเชียล ตนเองในฐานะเจ้าบ้านก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และเชื่อว่า ยังมีตำรวจอีกเยอะที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริต ส่วนที่มีการรีดไถก็เชื่อว่าเป็นส่วนน้อย และพยายามตั้งเป้าไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เพื่อให้มั่นใจว่านักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในประเทศไทยจะได้รับประสบการณ์ที่ดี
วงการสีกากีอื้อฉาวรับนักท่องเที่ยวจีนกลับไทย
นับแต่รัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ทำให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศ และกลับเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้น และหนึ่งในจุดหมายปลายทางหลักคือประเทศไทย ก็เกิดกรณีอื้อฉาวเชื่อมโยงกับตำรวจไทยหลายอย่างต่อเนื่อง
กรณีที่เป็นข่าวมากที่สุด คือ กรณีปมจ้างตำรวจนำขบวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางจากสนามบินถึงที่พัก ที่ต้นตอมาจากนักท่องเที่ยวสาวจีนที่โพสต์คลิปดังกล่าวลงใน Douyin หรือ ติ๊กต่อก ในประเทศจีน
สำหรับคลิปดังกล่าวมีความยาวราว 2 นาที นักท่องเที่ยวสาวชาวจีน อธิบายการทดสอบใช้บริการตำรวจไทยว่าใช้เงินซื้อได้ทุกอย่างตามคำร่ำลือจริงหรือไม่ ในคลิปดังกล่าวยังมีภาพตำรวจไปรับถึงประตูเครื่องบิน เดินนำทาง ยกกระเป๋า เปิดประตูรถให้ ขับรถนำเปิดไฟฉุกเฉินไซเรน ในรูปแบบการบริการแตกต่างตามลักษณะพาหนะนำขบวน เช่น หากเป็นรถจักรยานยนต์สนนราคา 6,000 บาท และหากเป็นรถยนต์ราคาอยู่ที่ 7,000 บาท
ต่อมาหลังจากการตรวจสอบเบื้องต้น พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวออกมายอมรับว่า มีข้าราชการตำรวจสังกัดตำรวจท่องเที่ยวจำนวน 1 ราย ปรากฏอยู่ในคลิปดังกล่าว คือ ร.ต.อ. สมพล ภิญโญสโมสร ตำแหน่ง รองสารวัตร กองกำกับการ 3 (รับผิดชอบสนามบินสุวรรณภูมิ) สังกัดกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1
ส่วนเหตุการณ์ในคลิป เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 ม.ค. 2566 เวลาประมาณ 22.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ HX671 เดินทางเข้าไทยพอดี ซึ่งตรวจสอบในวันดังกล่าวแล้ว ทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวไม่มีได้มีการสั่งการใดๆ ให้ตำรวจท่องเที่ยวสุวรรณภูมิอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวรายใดเป็นกรณีพิเศษ
บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Twitter เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Twitter และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Twitter ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก “ยินยอมและไปต่อ”
คำเตือน: บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่มาจากภายนอก
สิ้นสุด Twitter โพสต์
ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้สั่งการแล้วให้กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 ต้นสังกัดของ ร.ต.อ.สมพล ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วนแล้วรีบรายงานให้ทราบ
แต่ระหว่างที่ตำรวจกำลังสืบสวนกรณี “เที่ยวไทยแบบ VVIP” เพจ “ลุยจีน” ที่ทำเนื้อหาเกี่ยวกับประเทศจีน ได้โพสต์ถึง “รีวิวการสั่งซื้อบริการ Thailand Fast Pass” เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2566
ลุยจีน ระบุว่า คนจีนสามารถเข้าถึงบริการ “ช่องทางพิเศษ” ในไทย ได้อย่างง่ายดาย และบางบริการระบุเนื้อหาชัดว่า มีตำรวจคอย อ.น. หรือ อำนวยความสะดวก
“เท่าที่แสดงมาในโพสต์บริการส่วนใหญ่จะคล้าย ๆ กันหมด คือ เป็นพาผ่านด่าน ตม. ไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต แบบ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องกรอกเอกสาร ไม่ต้องแสดงยอดเงินในบัญชี เลือกทำ Visa on arrival ได้
“ถ้าเจ้าหน้าที่หน้างานบริการดี จะหยอดเพิ่มให้เค้า 200-300 เป็นสินน้ำใจก็ไม่ว่ากัน ใช้บริการเสร็จอย่าลืมไปรีวิวความประทับใจพร้อมให้คะแนน 5 ดาวเพื่อเป็นกำลังใจให้ ‘บริษัททัวร์’ ที่มาเปิดร้านด้วยนะ”
สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ได้เจาะลึกเรื่องนี้ ด้วยการสอบถามกับมัคคุเทศก์ไทย ที่นำเที่ยวให้นักท่องเที่ยวชาวจีนมานานกว่า 25 ปี พบว่า มีการให้บริการลักษณะนี้มาหลายสิบปีแล้ว เพราะบริษัททัวร์ในจีนต้องการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า
มัคคุเทศก์ชาวไทยคนนี้ อธิบายว่า จุดเริ่มต้นมาจากกรุ๊ปทัวร์ขนาดใหญ่มาไทย และในกลุ่มจะมีผู้บริหารมาด้วย ดังนั้น เพื่อเสริม “ความหรูหรา” จึงประสานกับเจ้าหน้าที่ภายในสนามบินว่าเป็นวีไอพี ให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการพาออกมา
ต่อมามีการพัฒนา จนกลายเป็นบริการเสริม ประสานผ่านมัคคุเทศก์ไทยที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ภายใน แต่ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวชาวจีน สามารถซื้อตั๋ว และแพ็คเกจนี้จากเมืองจีนได้เลย ผ่านระบบออนไลน์
“แบนเที่ยวไทย” จะกลับมา
กระแสด้านลบ และการเป็นไวรัลของเนื้อหาที่สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับการท่องเที่ยวในประเทศไทย อันที่จริงเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อช่วงปี 2561 จากประเด็นการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวไทย
สังคมออนไลน์ เว่ยป๋อ ในช่วงนั้น เมื่อค้นคำว่า “ไทย” จะพบหัวข้อมากมาย อาทิ ไทยทำร้ายนักท่องเที่ยวจีน อย่ามาประเทศไทย ระวังไทยอันตราย และอื่น ๆ อีกมาก
บีบีซีไทย เคยพูดคุยกับผู้ประกอบการจีนในภูเก็ตที่เล่าว่า ช่วงนั้น มีการเผยแพร่วิดีโอฉีดยาฆ่ายุงลายในภูเก็ต พร้อมคำอธิบายว่า “มาไทยระวังยุงกัด เป็นไข้เลือดออก ตายแล้ว 69 คน” ช่วงนั้น แหล่งข่าวเล่าว่า มีข่าวลักษณะนี้เกี่ยวกับไทย แทบจะทุกวัน คอมเม้นต์ของชาวจีนนั้น ก็รุนแรงมาก
ต้นตอของกระแสเหล่านี้ ยังมาจากกรณี “เรือล่มภูเก็ต” หลังเรือโดยสารฟีนิกซ์จมลงใกล้เกาะเฮ ทำให้นักท่องเที่ยวเสียชีวิต 47 ราย บาดเจ็บ 37 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวจีน
เหตุเรือล่มในพื้นที่ภูเก็ตเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2561 เกิดขึ้น 3 เหตุการณ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมยอดผู้ประสบภัยทั้งสิ้น 149 คน นอกจากเหตุเรือ “ฟีนิกซ์” ล่ม ยังมีเหตุเรือ “เซเรนาต้า” ล่มบริเวณเกาะไม้ท่อน โดยมีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 42 คน และเรือเจ็ทสกีของนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย 2 คนล่มใกล้เกาะราชา แต่เจ้าหน้าที่ได้ระดมค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งหมดได้แล้ว
ความไม่พอใจของชาวจีนยังถูกกระพือขึ้น จากความเห็นของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวว่า “คนจีนเป็นเป็นคนนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวเขา เขาทำของเขาเอง เขาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เราจะให้ไปเรียกความเชื่อมั่นได้อย่างไร”
พล.อ. ประวิตร ยังได้ตั้งข้อสงสัยด้วยว่าเหตุเกิดเพราะ “บริษัทจีนเข้ามาทำธุรกิจในไทย โดยใช้นอมินีของไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินคดีอยู่ โดยเรื่องนี้จะต้องดำเนินการแก้ไขและไทยก็มีกฎหมายของไทยอยู่
โกลบอล ไทมส์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของทางการจีนภาษาจีนและภาษาอังกฤษ เขียนไว้ในบทบรรณาธิการภาษาจีนวิจารณ์ว่า ถ้อยคำของ พล.อ. ประวิตร นั้น “คิดน้อยเกินไป” และ “ไม่เหมาะสม”
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ยังได้ชี้ด้วยว่า “นี่เป็นอุบัติเหตุที่ร้ายแรงมาก ไม่ว่าผู้บริหารของบริษัทนำเที่ยวนั้นจะมาจากประเทศใด แต่เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลไทยจะเลี่ยงจากความรับผิดชอบนี้ได้”
และ”เนื่องจากมีชาวจีนหลายคนเสียชีวิต ทำให้ชุมชนจีนเกิดความไม่พอใจอย่างมาก และหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในจีน เราก็คงจะรับผิดชอบกับการแสดงความเห็นสาธารณะใด ๆ ออกมา”
ในปี 2559 ก็เกิดกรณี นักท่องเที่ยวจีน “แบนเที่ยวไทย” เช่นกัน จากปัญหาเรื่องทัวร์แบบประหยัดที่แฝงบังคับซื้อสินค้า การทิ้งลูกทัวร์ ไม่นับปัญหาเที่ยวบินล่าช้าอื่น ๆ