ข่าวสารกรุงเทพฯ

ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 28 สิงหาคม …



ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2566

ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2566

การเมือง/มั่นคง

ต้องรอตั้งรัฐบาลเสร็จก่อนจึงจะนัดหารือ 3 ฝ่าย เพื่อกำหนดวันและเวลาการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเตรียมข้อซักถามนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า เห็นว่าหากตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จจะมีการประสานมา จากนั้นจะนัดหารือตัวแทนวิป 3 ฝ่าย ทั้งวิปวุฒิสภา วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้าน เพื่อกำหนดวันและเวลาในการพิจารณา ส่วนจะอภิปรายกี่วันต้องดูจากการอภิปรายในอดีตและรับฟังวิปแต่ละฝ่ายก่อนว่าต้องการเวลาเท่าไหร่ รวมทั้งฝ่ายรัฐบาลต้องใช้เวลาพอสมควรในการชี้แจง

สำหรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เห็นว่า ตามปกติรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระบุชัดว่า พรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลและไม่มีตำแหน่งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคที่มีจำนวน สส. มากที่สุดจะเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ แต่เมื่อพรรคก้าวไกลประสงค์จะดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ต้องแจ้งเพื่อสละสิทธิ์ให้พรรคฝ่ายค้านลำดับรองต่อไป เพราะจำเป็นต้องมีผู้นำฝ่ายค้านฯ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในสภาและคัดเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. และ กกต. จะต้องมีผู้นำฝ่ายค้านฯ ในคณะกรรมการสรรหา รวมทั้งกรรมการจริยธรรมในสภาผู้แทนราษฎรด้วย พร้อมย้ำว่า ผู้ที่จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ จะต้องเป็นหัวหน้าพรรคเท่านั้น และต้องเป็น สส.ในสภา แต่หากหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็น สส. ซึ่งเชื่อว่าพรรคการเมืองจะจัดการเรื่องนี้ได้

ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวถึงเรื่องการจัดสรรตำแหน่งในกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร ว่า ขณะนี้เริ่มแต่งตั้่งได้แล้วว่าพรรคใดบ้างที่เป็นรัฐบาล ซึ่งตนเองได้หารือกับนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ไว้บ้างแล้ว และคงนัดคุยกันในสัปดาห์นี้ ซึ่งทุกพรรคสามารถจัดสรรหากรรมาธิการตามสัดส่วน สส. แต่ที่ต้องหารือกันคือ พรรคใดจะเป็นประธานกรรมาธิการตามสัดส่วน โดยคาดจะใช้เวลา 2-3 วันแล้วเสร็จ

นายกรัฐมนตรี เศรษฐา เข้าพรรคเพื่อไทย ประชุมรับฟังข้อเสนอแนะ หาแนวทางแก้ไขด้านการบิน ยกระดับการท่องเที่ยว

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย พบกับสมาคมชาวไร่อ้อย ที่มาแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 จากนั้นกล่าวถึงรายชื่อคณะรัฐมนตรีว่า วันนี้รายชื่อ ครม. นิ่งทั้งหมดแล้ว หลังจากหารือกันเมื่อคืนที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล โดยวันนี้เลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะเข้ามารับรายชื่อทั้งหมด เพื่อไปตรวจสอบคุณสมบัติ

สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นบุคคลจากภายนอก หรือบุคคลในพรรค นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้รอความชัดเจนและไม่ทราบเรื่องการคัดค้านชื่อพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ แต่ก็ได้อ่านจากโซเชียลมีเดียบ้าง ยืนยัน หากเปิดรายชื่อออกมาจะไม่ผิดหวัง โดยขอให้ดูที่ผลงาน ใครก็ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลเลือกกันมาแล้วก็คงจะทำงานเต็มที่ให้กับประชาชน พร้อมย้ำว่า ขอให้อดใจรอ แต่ก็ยอมรับว่า มีทั้งคนสมหวังและผิดหวังซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็พยายามเต็มที่ให้ทุกคนได้รับตำแหน่ง อีกทั้งยังมีตำแหน่งที่ปรึกษา ตำแหน่งเลขาฯ ที่จะต้องมาร่วมกันทำงานจากทุกภาคส่วน เมื่อมีคนเยอะขึ้นเราก็จะทำงานได้ดีขึ้น ส่วนจะสามารถนำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ ได้เมื่อไหร่ ส่วนตัวไม่ทราบขั้นตอน เป็นเรื่องของหน่วยงานที่ต้องตรวจสอบ เข้าใจว่าอาจจะใช้เวลา 2-3 วัน ส่วนจะทันวันที่ 1 กันยายนนี้หรือไม่นั้นคงก้าวล่วงไม่ได้

นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝากถึงรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรื่องการปฏิรูปกองทัพว่า ส่วนตัวย้ำมาตลอดว่า ไม่อยากใช้คำว่าปฏิรูป แต่เป็นการพัฒนาร่วมกันดีกว่า ซึ่งนโยบายนี้ได้พูดไปแล้ว แต่ยังต้องดูความเหมาะสมและพูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพทั้งหมด ซึ่งจะต้องเจรจากัน

นายเศรษฐา ยังคาดว่า จะแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาได้เร็วกว่าช่วงกลางเดือนกันยายนที่วางไทม์ไลน์ไว้ โดยจะพยายามเร่งให้เต็มที่ เพราะพรรคเพื่อไทยได้เตรียมการไว้หมดแล้ว รวมถึงจะต้องเร่งให้ทันการประชุม UN ในช่วงสิ้นเดือนกันยายนนี้ด้วยหรือไม่นั้น ขอดูขั้นตอนก่อน เพราะตามมารยาทจะต้องเดินทางเยือนประเทศกลุ่มอาเซียนก่อนหรือไม่ เนื่องจากตนเองเป็นมือใหม่ จึงขอศึกษาก่อน แต่ยอมรับว่า เวทีประชุม UN เป็นเวทีใหญ่ที่จะมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำทั่วโลก ซึ่งอาจจะได้หารือเรื่องธุรกิจการค้าไปด้วย

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังเปิดเผยว่า วันนี้ตนเองมีประชุมหลายคณะ รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะและหาแนวทางแก้ไขด้านการบิน เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวร่วมกับผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบิน 8 แห่ง เพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ไตรมาสที่ 4 จะเป็นการกระตุ้นให้ภาคเอกชนเตรียมตัว และในช่วงต้นเดือนตุลาคมจะเป็นวันชาติจีน เพื่อให้ภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวจับตลาดในเวลานี้ให้ได้ โดยเฉพาะสายการบินต่างๆที่ต้องมีความพร้อม และจะต้องครอบคลุมไปถึงความมั่นคงและความปลอดภัย ซึ่งการท่องเที่ยว ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุดในระยะสั้น ก่อนที่จะเริ่มเดินหน้านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ในไตรมาสแรกของปีหน้า

เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว

ภาวะสังคมไทยไตรมาส 2566 การจ้างงานดีขึ้นร้อยละ 1.7 โดยเฉพาะสาขาโรงแรม ภัตราคาร ก่อสร้าง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2566 พบว่า การจ้างงานปรับตัวดีขึ้นและการว่างงานที่ปรับตัวดี โดยสถานการณ์ด้านแรงงานปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวในสาขานอกภาคเกษตรกรรม ส่วนภาคเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

ขณะที่ชั่วโมงการทำงาน ค่าจ้างแรงงานและอัตราการว่างงาน ยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับการจ้างงานผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 1.7 จากการขยายตัวของการจ้างงานสาขานอกภาคเกษตรกรรม โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคารยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการเข้ามาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่นเดียวกับสาขาก่อสร้างที่มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 6.0 และสาขาการผลิต การค้าส่งและค้าปลีกและการขนส่งและเก็บสินค้า เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ร้อยละ 0.3 0.5 และ 1.1 ตามลำดับ

ขณะที่ภาคเกษตรกรรมหดตัวเล็กน้อยจากปีที่แล้ว ร้อยละ 0.2 ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาภัยแล้ง ชั่วโมงการทำงานปรับตัวดีขึ้น โดยชั่วโมงการทำงานภาพรวมและเอกชนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนสำหรับค่าจ้างแรงงาน ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมและภาคเอกชนอยู่ที่ 15,412 และ 14,032 บาทต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้ อัตราการว่างงานมีแนวโน้มดีขึ้น การว่างงาน ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 1.06 หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 4.3 แสนคน

นอกจากนี้ พบว่าอัตราคาดการณ์แนวโน้มดีขึ้น สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไปคือ การขาดแคลนแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งหากพิจารณาตำแหน่งงานว่างและจำนวนแรงงานที่ได้บรรจุงานในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2565 ถึงเดือนมิถุนายน ปี 2566 พบว่าผู้สมัครงาน 1 คนมีตำแหน่งงานรองรับถึง 5 ตำแหน่ง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการเกษียณอายุของแรงงานทักษะต่ำ โดยไตรมาสสองปี 2566 มีแรงงานทักษะต่ำในภาคเอกชนที่กำลังจะเกษียณอายุกว่า 1.3 ล้านคน ขณะที่แรงงานที่จะเข้ามาทดแทนมีแนวโน้มลดลง ผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ของเกษตรกรจากภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยปริมาณฝนสะสมในปัจจุบันมีค่าน้อยกว่าค่าปกติในทุกภูมิภาค

เกษตรกรรม/สิ่งแวดล้อม

เปิดตัวอ้อยพลังงานพันธุ์แรกของประเทศไทย “กวก. ขอนแก่น 4” พืชทางเลือกเพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า อ้อย เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลทราย กากน้ำตาลและเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเอทานอล รวมทั้งชานอ้อยที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตน้ำตาลและผลิตพลังงานไฟฟ้า ประเทศไทย มีความต้องการใช้พลังงานปีละประมาณ 85,966 พันตัน และมีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย ยังไม่มีพันธุ์อ้อยที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานโดยตรง

ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การเกษตรนานาชาติแห่งประเทศญี่ปุ่น จึงได้วิจัยและปรับปรุงพันธุ์อ้อยเพื่อให้ได้พันธุ์อ้อยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์

ได้หลากหลาย ซึ่งจากการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์อ้อยตั้งแต่ปี 2540 -2565 ทำให้ได้อ้อยพันธุ์ใหม่ใช้ชื่อพันธุ์ว่า ”กวก. ขอนแก่น 4” เป็นลูกผสมข้ามชนิดระหว่างอ้อยและอ้อยป่า

ปัจจุบันศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น ได้ขยายอ้อยโคลนพันธุ์ กวก.ขอนแก่น 4 พื้นที่ 2 ไร่ สามารถปลูกขยายได้ 15 ไร่ โดยเกษตรกรจะมีรายได้จากการปลูกอ้อยพันธุ์ กวก.ขอนแก่น 4 (อ้อยปลูก อ้อยตอ 1 และอ้อยตอ 2) เป็นเงิน 44,164 บาท/ไร่ สูงกว่าพันธุ์ขอนแก่น 3 และ K88-92 จึงเป็นพืชทางเลือกเพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้แก่เกษตรกร ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่น กรมวิชาการเกษตร โทรศัพท์ 0-4320-3506 และ 0-4320-3508”

ช่วงสัปดาห์นี้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักหลายพื้นที่

นายธนะสิทธิ์ เอี่ยมอนันชัย รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ตั้งแต่ 28 สิงหาคม- 6 กันยายน 2566 ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักกันอีกช่วง เนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน ทะเลมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง

ทั้งนี้ ในมหาสมุทรแปซิฟิกมีพายุเกิดขึ้น 2 ลูก แต่ไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย ด้านพายุไต้ฝุ่น “เซาลา” (SAOLA) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก หรือด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน และเคลื่อนขึ้นฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ในช่วงวันที่ 2-3 ก.ย. 66 โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทยโดยตรง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย

สังคม

เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน พุทธศาสนิกชน ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐิน

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานองค์กร คณะบุคคล และเอกชนที่มีความประสงค์ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินพร้อมเครื่องบริวารพระกฐิน ไปถวายยังพระอารามหลวง จำนวน 311 พระอาราม และวัดไทยในต่างประเทศ จำนวน 31 วัด เนื่องในเทศกาลกฐิน ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 27 พฤศจิกายน 2566

ล่าสุดมีพระอารามหลวงจำนวน 35 แห่ง ยังไม่มีผู้แจ้งความประสงค์ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินพร้อมเครื่องบริวารพระกฐิน อาทิ วัดกลาง จังหวัดกาฬสินธุ์ วัดแจ้ง จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดโพธาราม จังหวัดนครสวรรค์ วัดชลธาราสิงเห จังหวัดนราธิวาส วัดคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วัดมงคลนิมิต จังหวัดภูเก็ต วัดบึงพระลานชัย จังหวัดร้อยเอ็ด วัดสุวรรณคีรีวิหาร จังหวัดระนอง วัดหนองโว้ง จังหวัดสุโขทัย

โดยสามารถแจ้งขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินพร้อมเครื่องบริวารพระกฐิน และสอบถามรายละเอียดผ่านเว็บไซต์กรมการศาสนา หรือโทรศัพท์ 0-2209 3521 ในวันและเวลาราชการ

ชูนวัตกรรมยาพอกเข่า บรรเทาข้อเข่าเสื่อม พัฒนาเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์สำหรับประชาชน

นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคกระดูกและข้อ (ออร์โธปิดิกส์) จัดทำโครงการศึกษาวิจัยประสิทธิผลและความปลอดภัยของหัตถการพอกเข่ากลุ่มผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม หรือโรคลมจับโปงแห้งเข่า ในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ ศึกษาเชิงการทดลอง ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาโครงร่างงานวิจัยในคนแล้ว คาดว่าผลการศึกษานี้จะทำให้การพอกเข่าเป็นหัตถการที่สำคัญของการแพทย์แผนไทยที่ช่วยลดอาการปวด อาการฝืดและเพิ่มการเคลื่อนไหวข้อเข่าให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจและโรคกระเพาะอาหาร ช่วยลดการใช้ยาแก้ปวด ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงสำคัญของยาแก้ปวดได้

สำหรับยาพอกเข่าตำรับนี้ เป็นยาพอกเข่าสูตรร้อน เหมาะสำหรับการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมหรือโรคลมจับโปงแห้งเข่า ซึ่งเป็นสูตรตำรับดั้งเดิมของอาจารย์อภิชาติ ลิมป์ติยะโยธิน อาจารย์แพทย์แผนไทยที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ตั้งแต่อดีต และมีการนำมาใช้จนถึงปัจจุบัน โดยยาพอกเข่าสูตรตำรับนี้ ทางผู้วิจัยผลิตจากโรงงานที่ผ่านมาตรฐาน GMP โดยกองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นผู้ผลิตเพื่องานวิจัยครั้งนี้

ยาพอกเข่าตำรับนี้ เตรียมผลักดันให้หัตถการพอกเข่าเป็นการจัดบริการสำหรับประชาชนที่มีปัญหาปวดข้อเข่าจากภาวะข้อเข่าเสื่อม หรือโรคลมจับโปงแห้งเข่า โดยจะส่งเสริมให้หน่วยบริการทุกแห่งให้บริการด้านหัตถการพอกเข่า รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนารูปแบบยาพอกเข่าให้เป็นนวัตกรรม ที่สะดวกและง่ายต่อการนำไปใช้ได้ด้วยตนเอง เช่น แผ่นแปะ สเปรย์ เจล ลูกกลิ้ง ฯลฯ รวมทั้งนำผลการศึกษานี้เป็นข้อมูลให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ใช้พิจารณาเพิ่มเป็นชุดสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนในระบบบริการได้อย่างเท่าเทียมกันทุกคนต่อไป

สวทช. แถลงผลสำเร็จการดำเนินงาน ตลอด 1 ปี แผนปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ในฐานะเลขานุการร่วมของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดทำแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ 2565 – 2570 มีผลการดำเนินงานที่สำคัญในด้านต่างๆ เช่น ด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนากำลังคน ด้านนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้ ซึ่งจากการขับเคลื่อนด้านต่างๆ ส่งผลให้ปัจจุบันมีบุคลากรเข้ารับการอบรมในโครงการและหลักสูตร AI กว่า 83,000 คน และจากการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล ประเทศไทยเลื่อนอันดับขึ้นจาก 59 เป็น 31 ทันทีที่มีแผนปฏิบัติการ AI ในปีที่ผ่านมา ดังนั้น ความร่วมมือ เรื่องการวิจัยพัฒนาชุดข้อมูลและนวัตกรรมเพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ระหว่างกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. ในวันนี้(28 ส.ค.66) ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้นักวิจัยด้าน AI ได้เข้าถึงคลังข้อมูลทางการแพทย์และยกระดับคุณภาพด้านการแพทย์สาธารณสุขให้มีความทันสมัย รวมทั้งผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ของเอเชีย

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ศิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว.ได้กล่าวแสดงความยินดีที่มีส่วนสำคัญในการร่วมกันผลักดันการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เป้าหมายของแผนฯ ที่กำหนดไว้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาได้มีการเตรียมความพร้อมรับการเติบโตของการนำ AI มาใช้ได้เป็นอย่างดี และเห็นถึงความก้าวหน้าในการดำเนินการที่ผ่านมา และวันนี้ถือเป็นอีกหมุดหมายที่สำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงาน ที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาแพลตฟอร์มการบริหารจัดการข้อมูลเปิดด้านการแพทย์ ตลอดจนส่งเสริมระบบนิเวศการวิจัยและพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ของประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง




ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา

ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา

แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว



Source link