ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 10 ตุลาคม …
ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2566
ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2566
ประชุมคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีรับทราบ รัฐบาลเตรียมจัดกิจกรรมเนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคมนี้
นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ 13 ตุลาคม 2566 ในการนี้ รัฐบาลได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดกิจกรรม จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ในวันที่ 13 ตุลาคม 2566 เวลา 07.30 น. ในส่วนกลาง จัดพิธี ณ ท้องสนามหลวง พระสงฆ์ จำนวน 189 รูป โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพร้อมภริยา ในส่วนภูมิภาค ทุกจังหวัดจัดพิธี ณ ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม และในต่างประเทศ ให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุล จัดพิธีตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม รวมทั้งเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วประเทศจัดพิธีตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม
โอกาสนี้จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมเครื่องราชสักการะ ตามอาคารสถานที่ กำหนดระหว่างวันที่ 1 – 31 ตุลาคม 2566
ครม.เห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองจำนวน 2 ราย
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้งให้นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายสยาม บางกุลธรรม ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมเป็นต้นไป
การเมือง/มั่นคง
ไทยประสบความสำเร็จในการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สามารถต่อยอดความร่วมมือได้ครอบคลุมทุกมิติ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติภารกิจการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงอย่างเป็นทางการเสร็จสิ้นแล้ว ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นับเป็นโอกาสดีของไทย ในการสานต่อความร่วมมือต่างๆ กับฮ่องกง ทั้งในส่วนของภาครัฐ ที่มีการหารือทวิภาคีกับนายจอห์น ลี คา-ชิว ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาความเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ ประชาชน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งฮ่องกงมีบทบาทที่สำคัญเชื่อมจีนกับส่วนอื่นๆ ของโลก และไทยสามารถเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียนให้แก่ฮ่องกงและจีนได้ ขณะที่ในส่วนของภาคเอกชน นักธุรกิจสนใจมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมเป้าหมาย อีกทั้งยังชื่นชมนโยบาย Visa Free สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน และเชื่อมั่นว่าภาคเอกชนจะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ โดยไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวที่ดีที่สุด ดังนั้นไทยจึงเตรียมแผนรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเติม
นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯหารือทวิภาคีกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ในโอกาสเยือนอย่างเป็นทางการ
วันนี้ (10 ต.ค.66) เมื่อเวลา 14.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯเพื่อหารือทวิภาคีกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ณ พระราชวังอิสตานา นุรุล อิมาน ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าเฝ้าฯ และมาเยือนบรูไนอย่างเป็นทางการในวันนี้ ขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีฯ ทรงกล่าวแสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย ชื่นชมความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยปีหน้าจะครบรอบ 40 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์การทูต ทำให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาอย่างก้าวหน้า ทั้งการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร พลังงานและเกษตรกรรม ซึ่งบรูไนฯนำเข้าข้าวและน้ำตาลจากไทยเป็นหลักและเห็นพ้องขยายตลาดสินค้าฮาลาลเพิ่มเติม เช่น เนื้อไก่ ขณะที่ไทยเสนอให้ขยายการค้าการลงทุนระหว่างกัน และนายกรัฐมนตรีเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวบรูไนมาใช้บริการทางการแพทย์ของไทย ซึ่งไทยมีชื่อเสียงในด้านนี้ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังแสดงความห่วงกังวล ต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นขณะนี้ พร้อมขอให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
ทั้งนี้ช่วงค่ำสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี
ประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญนัดแรก วางกรอบการทำงาน ตั้งเป้าเสร็จภายใน 4 ปี
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กล่าวว่า การประชุมวันนี้ เป็นการพิจารณาวางกรอบการทำงานและการสำรวจความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รวมถึงการดำเนินการเพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ลุล่วงมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะต้องดูว่าจะต้องมีคณะอนุกรรมการอะไรหรือไม่ โดยทั้งหมดจะพยายามให้เสร็จภายใน 4 ปี และมีหลายเรื่องที่ต้องพิจารณา เช่น จะต้องทำประชามติกี่ครั้ง เพราะนายกรัฐมนตรี ให้แนวทางไว้ ให้ยึดตามแนวทางศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกลไม่ส่งรายชื่อเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ ก็ไม่มีปัญหา เพราะเราพยายามรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายให้มากที่สุด ซึ่งมีหลายวิธีที่จะแสดงความคิดเห็นเข้ามาและเคารพในสิทธิของแต่ละฝ่ายว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ ตั้งเป้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะต้องสำเร็จภายใน 4 ปีตามอายุของรัฐบาลชุดนี้ และต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น บนพื้นฐานความเป็นจริง
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
ประเมินสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (2 -9 ต.ค.66) พบว่า นักท่องเที่ยวปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมากถึง 75,093 คนเนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนบางส่วนออกเดินทางตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้าในช่วง Golden Week เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดและความกังวลต่อความปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่สยามพารากอน ประกอบกับการสิ้นสุดช่วงวันหยุดต่อเนื่อง และการเปิดภาคเรียนในภูมิภาคอาเซียน เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 497,966 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 54,453 คน คิดเป็นร้อยละ 9.86 โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ มาเลเซีย จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และลาว โดยนักท่องเที่ยวลาว มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 1.16
สำหรับสัปดาห์ถัดไปคาดว่า นักท่องเที่ยวจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากความกังวลด้านความปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่สยามพารากอน และการเข้าสู่ภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศ ยังคงได้รับแรงกดดันต่อเนื่องจากราคาต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับนักท่องเที่ยวสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.66 ที่ผ่านมา ทั้งสิ้น 20,549,501 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 861,845 ล้านบาท
เกษตรกรรม/สิ่งแวดล้อม
นายกรัฐมนตรี สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งเตือนประชาชน
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมตรวจสอบความมั่นคงอาคารป้องกันริมแม่น้ำและเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก ความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ รวมถึงระบบสื่อสารสำรอง เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คาดการณ์จะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นอีกจนถึงวันที่ 12 ตุลาคมนี้ ส่งผลให้น้ำหลากลงสู่ลุ่มน้ำและอ่างเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้เฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่ด้านท้ายอ่างเก็บน้ำ ในช่วงวันที่ 12 – 18 ตุลาคมนี้ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่มีปริมาตรน้ำสูงกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำกักเก็บสูงสุด จำนวน 9 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำแม่งัดสมบูรณ์ชล จังหวัดเชียงใหม่ อ่างเก็บน้ำกิ่วลม และแม่มอก จังหวัดลำปาง อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง จังหวัดอุดรธานี อ่างเก็บน้ำน้ำพุง และหนองหาร จังหวัดสกลนคร อ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น อ่างเก็บน้ำลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ อ่างเก็บน้ำขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก ขณะที่ อ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็ก มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เสี่ยงน้ำล้นกระทบพื้นที่บริเวณท้ายอ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำป่าสักชลสิทธิ์ คาดการณ์ว่าจะมีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและมีแนวโน้มปริมาตรน้ำมากกว่าร้อยละ 80
ส่วนพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่งและท่วมขัง ในพื้นที่ลุ่มต่ำแม่น้ำยม แม่น้ำมูล บริเวณสถานี M.7 อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี คาดการณ์ว่าระดับน้ำจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ แม่น้ำยัง บริเวณสถานี E.92 อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด คาดการณ์ว่าระดับจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สูงกว่าตลิ่ง 1.00 – 1.50 เมตร ในวันนี้ (10 ต.ค.) – 11 ตุลาคม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำบริเวณ อำเภอเสลภูมิและโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด และลดลงต่ำกว่าตลิ่งในวันที่ 13 – 14 ตุลาคมนี้
สังคม
วันสุขภาพจิตโลก เดินหน้า Quick win 100 วันแรก เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและจิตเวชในทุกช่วงวัย
สหพันธ์สุขภาพจิตโลก กำหนดให้วันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันสุขภาพจิตโลก นับตั้งแต่ปี 2535 เพื่อให้ประชากรทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิต สำหรับในปี 2023 นี้ องค์การอนามัยโลกได้ วางแนวทางการรณรงค์ ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพจิตเป็นสิทธิมนุษยชนสากล เนื่องจากปัจจุบันปัญหาสุขภาพจิตมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยพบ 1 ใน 8 คนทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมและการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน
ขณะที่ประเทศไทยรายงานระบบคลังข้อมูลสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขพบจำนวนผู้ป่วยจิตเวชมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า มีผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นจาก 1,156,734 ราย ในปี 2564 เป็น 1,240,729 ราย ในปี 2566
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญ ในการเพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและจิตเวชในทุกช่วงวัย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงประกาศ Quick win ประเด็นสุขภาพจิตและยาเสพติด เดินหน้าจัดตั้งศูนย์มินิธัญญารักษ์ดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดครบวงจรทุกจังหวัด จัดตั้งหอผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ครอบคลุมทุกจังหวัด และจัดตั้งกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลชุมชน ครบทุกอำเภอต่อไป
โรคและภัยสุขภาพช่วงฤดูฝน พบโรคไข้หวัดใหญ่ โรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก และโรคติดเชื้อไวรัสซิกาเพิ่ม
นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า โรคและภัยสุขภาพที่กรมควบคุมโรคติดตามอยู่ในขณะนี้ พบว่าช่วงนี้ยังคงมีฝนตก โรคที่ผู้ป่วยต่อเนื่องที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา โดยโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 2 ตุลาคม 2566 พบผู้ป่วยแล้ว 248,322 ราย เสียชีวิต 8 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 10-14 ปี รองลงมาคือ กลุ่มเด็กแรกเกิด – 4 ปี และ กลุ่มอายุ 7-9 ปี ,โรคไข้ฉี่หนู แม้ผู้ป่วยไม่มากเท่าแต่อัตราเสียชีวิตมากกว่า โดยพบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 2 ตุลาคม 2566 พบผู้ป่วย 2,817 ราย เสียชีวิตแล้ว 32 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 45-54 ปี รองลงมาคือกลุ่มอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มอายุ 35-44 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรที่มีการเดินลุยน้ำย่ำโคลน อีกโรคที่จับตาคือ โรคไข้เลือดออก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 6 ตุลาคม 2566 พบผู้ป่วย 106,548 ราย เสียชีวิต 101 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี และเด็กแรกเกิด – 4 ปี ขณะที่โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 4 ตุลาคม 2566 พบผู้ป่วย 479 ราย โดยพบผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 20 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ อายุ 25-34 ปี รองลงมาคือ อายุ 35-44 ปี และอายุ 45-54 ปี
ทั้งนี้ได้สั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้อง เดินหน้าแก้ไขสถานการณ์โรคและภัยสุขภาพสำคัญต่อเนื่อง เน้นให้ความรู้ประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตนให้ถูกต้องในการป้องกันโรค
กระทรวงการต่างประเทศย้ำทางการอิสราเอลให้ดูแลคนไทยอย่างดีที่สุด พร้อมวางแผนอพยพต่อเนื่อง
นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงความความคืบหน้าเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ยังมีความรุนแรง โดยเฉพาะในบริเวณฉนวนกาซา ซึ่งทางการอิสราเอลยืนยันว่าสามารถกระชับพื้นที่ต่างๆ และอพยพประชาชนออกมาได้แล้ว 15 เมืองจาก 24 เมือง และได้ระดมกำลังกองหนุนมากกว่า 300,000 คน ซึ่งเป็นการระดมพลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล
ด้านรายงานจำนวนคนไทยที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ขณะนี้ มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 6 รายรวมเป็น 18 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติมอีก 1 ราย รวมเป็น 9 ราย ทางด้านจำนวนผู้ที่ถูกจับตัวไปยังคงเป็น 11 รายเท่าเดิม
ขณะที่กองทัพอิสราเอลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันอพยพแรงงานไทยออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยสูงสุดจากบริเวณไม่เกิน 4 กิโลเมตรรอบฉนวนกาซา หลายร้อยคนและพยายามใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในการติดตามและตรวจสอบผู้สูญหาย ซึ่งทางสถานทูตได้มีการประสานงานกับตำรวจเพื่อนำรายชื่อของผู้ที่ญาติไม่สามารถติดต่อได้ให้ทางตำรวจติดตามความคืบหน้าต่อไป
นอกจากนั้น ทางสถานเอกอัครราชทูตของไทยในประเทศต่างๆ มีความพยายามที่เจรจากับฝ่ายปาเลสไตน์ เพื่อหาทางยุติความรุนแรงในครั้งนี้ โดยนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลวานนี้ โดยทางการอิสราเอลแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้ และให้คำมั่นว่าจะดูแลคนไทยในอิสราเอลอย่างดีที่สุด และแสดงความมั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งนายปรานปรีย์ ได้ย้ำว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับชาวไทยที่อยู่ในอิสราเอล ขอให้อิสราเอลทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องคนไทย ให้ปลอดภัย และเร่งให้การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันออกมาให้เร็วที่สุด อีกทั้งขอให้ทางการอิสราเอลตรวจสอบและยืนยันข้อมูลผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บชาวไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสแรกนอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จะส่งแรงงานไทยครั้งที่ 1 จำนวน 15 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 4 คน และแรงงานไทยที่ได้รับการอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย 11 คน รวมเป็น 15 คน โดยเครื่องบินพาณิชย์ กลับประเทศไทยในวันที่ 11 ต.ค. 66 ออกเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟ เวลา 21.45 น. โดยสายการบิน Israel Airlines (เที่ยวบินที่ LY083) จะถึงประเทศไทยในวันที่ 12 ต.ค. 66 เวลา 10.35 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และกำลังจัดเที่ยวบินอพยพแรงงานไทยเพิ่มเติมจำนวน 80 ที่นั่ง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 18 ต.ค. 66 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา มีผู้แจ้งความประสงค์จะขอขึ้นเครื่องบินอพยพเพื่อเดินทางกลับไทยแล้วจำนวน 3,226 คน โดยขณะนี้มี ประเทศที่เริ่มอพยพคนออกจากอิสราเอลแล้วหลายประเทศ ทั้งโดยเครื่องบินทหาร เครื่องบินรัฐบาล เครื่องบินประจำชาติ และเครื่องบินพาณิชย์ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะส่งเจ้าหน้าที่ไปสนับสนุนการดำเนินการของสถานเอกอัครราชทูตฯ เพิ่มเติมในวันนี้
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว