ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 3 พฤศจิกายน …
ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566
ประมวลข่าวทั่วไทยประจำวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566
การเมือง/มั่นคง
นายกรัฐมนตรี หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย ให้ความสนใจลงทุน Land Bridge
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง นายหาน จื้อเฉียง (Mr. Han Zhiqiang) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย เข้าพบเพื่อหารือข้อราชการ ว่ามีการติดตามงานหลายเรื่อง หลังก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปประชุมที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะด้านการเกษตร การส่งออกโค ซึ่งจีนรับพิจารณาจะให้ส่งโคออกไปขาย โดยไม่ต้องผ่านด่านกักกันที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป. ลาว แต่ประเทศไทยต้องผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยโคที่เราต้องไม่เป็นโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อย เป็นเรื่องที่ไทยต้องไปบริหารจัดการภายในก่อน ซึ่งฝ่ายจีนยินดีรับโคโดยตรงจากประเทศไทย
นายกรัฐมนตรี ยังได้พูดคุยการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ หลังจากได้นำเรื่องนี้ไปเสนอให้กับประธานาธิบดี สีจิ้นผิง และได้ให้ความสนใจอย่างมาก โดยเอกอัครราชทูตจีนฯ ได้สอบถามตนเองจึงตอบว่า หลังกลับจากการประชุมเอเปคที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาแล้ว จะให้กระทรวงคมนาคมและบีโอไอ ไปอธิบายอย่างละเอียดเพื่อให้ฝ่ายจีนจะได้เข้าใจถึงนโยบายนี้และจะมีส่วนร่วมในการพัฒนา หรือลงทุนกับโครงการนี้
ส่วนเรื่องการสร้างสะพานมิตรภาพ 2 เชื่อมระหว่างจังหวัดหนองคาย ไป สปป.ลาว สามารถรองรับการส่งออกของสินค้าจากประเทศไทยข้ามไป สปป.ลาว และไปถึงจีนได้ จะให้จีนพูดคุยกัน เพื่อพัฒนาก่อสร้างให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
นอกจากนี้ ยังได้สอบถามความคืบหน้าถึงเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำ มีความก้าวหน้าที่ดี จะต้องมีการพูดคุยต่อ ทั้งนี้เกรงว่าจะเกิดความสับสน เพราะเป็นประเด็นประชาชนให้ความสนใจมาก ขอมีข้อสรุปออกมาก่อน แล้วค่อยพูดกันอีกครั้ง แต่ขณะนี้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางที่ดี
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยกลางเดือนธันวาคม เตรียมประกาศโครงการใหญ่ หลังพูดคุยกับบริษัทเซ็นทรัลกรุ๊ป
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลและคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมคารวะว่า บริษัทเซ็นทรัลกรุ๊ป เป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีทั้งศูนย์การค้าและโรงแรม ได้มาให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจเรื่องการค้าปลีก รวมถึงนโยบายท่องเที่ยวของรัฐบาล โดยได้รับฟังหลายข้อ ทั้งมาตรการทางภาษี มาตรการการแข่งขันค้าปลีกที่ไม่เป็นธรรม รัฐบาลรับจะไปดำเนินการ
พร้อมกันนี้ ยังได้พูดคุยถึงโครงการใหญ่ 1 โครงการ กลางเดือนหน้าจะสามารถประกาศได้ เป็นการตอบรับที่ดี หวังว่าจากนี้จะมีนโยบายที่ทำงานร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลได้ นอกจากนี้จะมีข่าวดีเรื่องการพัฒนาการท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองรองอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่ามาตรการทางภาษี ไม่ใช่มาตรการช็อปดีมีคืน เป็นเรื่องที่ใหญ่และครอบคลุมลึกกว่านั้น ส่วนมาตรการที่จะออกมารองรับช่วงปีใหม่ ซึ่งเรื่องในของการท่องเที่ยวจะมีมาตรการออกมาอย่างต่อเนื่องและยังมีอีกหลายเรื่องที่กำลังทยอยออกมา บางประเด็นยอมรับว่ายังติดเงื่อนไขของกฎหมาย แต่ยืนยันว่าอะไรได้ที่ทำได้ก็จะทำก่อน เพื่อให้รองรับช่วงเทศกาลปีใหม่
ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สิน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. พรรคก้าวไกล มีทรัพย์สินรวมกว่า 65 ล้านบาท
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สส. กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 จำนวน 90 ราย โดยมีรายชื่อที่น่าสนใจคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แจ้งสถานภาพโสด พร้อมระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 65,530,955 บาท และมีหนี้สินโดยเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 463,263 บาท ทรัพย์สินประกอบด้วย เงินสด 1,800,000 บาท เงินฝาก 22 บัญชี มูลค่ารวม 2,789,741 บาท เงินลงทุน 64 รายการ มูลค่ารวม 1,337,777 บาท ในจำนวนนี้ไม่พบหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เงินให้กู้ยืม 15,000,000 บาท โดยแจ้งว่า ให้กู้ยืมแก่นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นน้องชาย ที่ดิน 2 แปลงในพื้นที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 2 ไร่เศษ และในพื้นที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ 1 ไร่ แจ้งว่าได้มาในปี 2566 มูลค่ารวม 11,776,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง เป็นห้องชุดในเขตวัฒนา กรุงเทพ มูลค่า 15,000,000 บาท ยานพาหนะแจ้งว่า เป็นรถยนต์ Majesty รถจักรยานยนต์ และจักรยานไฟฟ้า รวม 4 คัน มูลค่ารวม 2,140,000 บาท นอกจากนี้ ยังแจ้งว่ามีใบจองรถ Tesla และสมาชิกราชกรีฑาสโมสรมูลค่ารวม 3,650,446 บาท ทรัพย์สินอื่น 12,036,990 บาท
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับรายละเอียดทรัพย์สินที่นายพิธา ยื่นไว้กรณีพ้นตำแหน่ง สส. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 พบว่า นายพิธา มีทรัพย์สินลดลง 19,192,765 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับรายการหนี้สินอื่น ที่แจ้งไว้ 19,932,762 บาท ซึ่งไม่ปรากฎในการยื่นบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุด
ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สินนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส. พรรคเพื่อไทย มีทรัพย์สินกว่า 107 ล้านบาท
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สส. กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 จำนวน 90 ราย โดยมีรายชื่อที่น่าสนใจคือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แจ้งสถานภาพสมรสกับนางจิราภรณ์ ฉายแสง ระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 107,931,832 บาท ไม่มีหนี้สิน แบ่งเป็นทรัพย์สินของนายจาตุรนต์ 29,038,968 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 1,701,884 บาท ที่ดิน 12 แปลง อยู่ในพื้นที่ กทม. จ.เพชรบูรณ์ จ.สงขลา จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.อุดรธานี มูลค่า 14,987,084 บาท สิทธิและสัมปทานสมาชิกสามัญและสมาชิกสมทบสโมสรราชพฤกษ์ 1,200,000 บาท รายการทรัพย์สินอื่น 3 รายการ มูลค่า 11,150,000 บาท ประกอบด้วย ต้นสักทอง 200 ต้น ปลูกที่ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ มูลค่า 10,000,000 บาท ปืนสั้น 1 กระบอก นาฬิกาหรู 6 เรือน ขณะที่นางจิราภรณ์ มีทรัพย์สิน 78,892,863 บาท
นางสาวศรีโสภา โกฏคำลือ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย แจ้งสถานภาพโสด ระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 99,679,499 บาท เป็นเงินฝาก 5,668,257 บาท เงินลงทุน 711,577 บาท ที่ดิน จำนวน 17 แปลง อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ทั้งหมด มูลค่ารวม 57,302,300 บาท
ส่วนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แจ้งสถานภาพโสด ระบุว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 3,130,999 บาท ประกอบด้วย เงินสด 970,000 บาท เงินฝาก 239,311 บาท ที่ดิน 121,200 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1,468,800 บาท สิทธิและสัมปทาน 331,688 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 1,225,541 บาท โดยเป็นหนี้บัตรเครดิต 5 บัญชี และเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารและสถาบันการเงินอื่น
นายกรัฐมนตรี ขึ้นรถไฟจากหัวลำโพง ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองวันพรุ่งนี้ ตรวจเยี่ยมท่าเรือแหลมฉบัง
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองวันพรุ่งนี้ (4 พ.ย.66) โดยช่วงเช้า จะออกเดินทางจากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ชานชาลาที่ 5 ไปยังสถานีรถไฟแหลมฉบัง ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยขบวนรถไฟ เพื่อไปตรวจเยี่ยมท่าเรือแหลมฉบังและพูดคุยประเด็นศักยภาพของพื้นที่สำหรับการรองรับสินค้าอุตสาหกรรมหนักในการนำเข้าและส่งออกของท่าเรือแหลมฉบัง ที่ท่าเรือแหลมฉบัง
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ไปตรวจเยี่ยมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล เพื่อติดตามระบบการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำให้รองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง และเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ ตำบลแม่น้ำคู้ จังหวัดระยอง ต่อด้วยตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE2) ตำบลคันทรง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
สำหรับการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองในครั้งนี้ ของนายกรัฐมนตรี เพื่อไปตรวจเยี่ยมโครงการสำคัญและอุตสาหกรรมเป้าหมายในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งติดตามการบริหารจัดการน้ำในเขต EEC เพื่อสร้างความมั่นใจมีน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดช่วงหน้าแล้งที่จะมาถึง โดยไม่กระทบต่อภาคการผลิตและการลงทุน
กกต. ระบุ ตรวจสอบนโยบายดิจิทัล ตาม 3 เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ย้ำทำตามกฎหมาย ไม่ได้ทำตามความรู้สึก
นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการ (กกต.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งคณะทำงานตรวจสอบนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท และมี กกต.ร่วมเป็นหนึ่งในคณะทำงานด้วยว่า ในช่วงเลือกตั้งพรรคการเมืองจะเสนอนโยบายที่จะต้องใช้จ่ายเงินต้องชี้แจงข้อมูลให้ครบ 3 เงื่อนไขคือ แหล่งที่มาของเงิน ประโยชน์ที่จะได้รับและความเสี่ยงของนโยบายนั้นๆ ซึ่ง กกต.ไม่มีอำนาจที่จะไปอนุญาตให้ใครหาเสียงได้ หรือไม่ได้ แต่ขอให้พรรคการเมืองจัดทำข้อมูลให้ครบใน 3 เงื่อนไข เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ ว่าจะออกเสียงลงคะแนนให้หรือไม่ ถ้านโยบายนั้นจะทำให้การเงินการคลังของประเทศเสียหาย ก็จะมีรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจตามมาตรา 245 โดยระบุว่า ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำความเห็น ถ้าพบว่านโยบายจะสร้างความเสียหายต่อการเงินการคลังของประเทศ ให้หารือร่วมกันกับ กกต. และ ป.ป.ช แต่ถ้าดำเนินการนโยบายนั้นๆ แล้วเกิดการทุจริต ก็จะเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบ ซึ่งกฎหมายออกแบบมาอย่างถูกต้องครอบคลุมแล้ว
สำหรับการชี้แจงของพรรคเพื่อไทย ได้ระบุแหล่งที่มาของเงิน ว่ามาจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี นายแสวง กล่าวว่า ณ วันที่ออกนโยบายพรรคการเมืองมีเวลาคิด ซึ่งนโยบายคือ กรอบที่วางไว้กว้างๆ เวลาจะนำมาใช้จริงก็ต้องมาปรับ เช่น นโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อมีการมารวมกันในการจัดทำนโยบายก็ต้องมีการถอยคนละก้าวเพื่อให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งบางนโยบายอาจไม่ดำเนินการในปีนี้ และมองว่า การที่พรรคการเมืองพยายามทำตามนโยบายเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องรอดูว่าจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนกรณีที่มีการมาร้อง กกต.ให้ตรวจสอบ จะทำอย่างไร นายแสวง กล่าวว่า เราจะไม่เอาความรู้สึกของคนมาบริหารประเทศไม่ได้ แต่เราทราบถึงความรู้สึกนั้นว่าประชาชนคาดหวังอย่างไร ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขณะนี้ขยับหมดทั้ง สตง. และ ป.ป.ช. ในส่วนของ กกต. ก็พร้อมร่วมทำงานกับ สตง.และ ป.ป.ช. ขณะ ที่ป.ป.ช. ตั้งคณะทำงานตรวจสอบในเรื่องนี้ กกต. ก็เข้าให้ข้อมูล โดยเรื่องนี้เป็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงไม่น่าหนักใจแต่อย่างใด
นายกรัฐมนตรี สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือคนไทยในเมืองเล่าก์ก่าย ประเทศเมียนมา จากเหตุการสู้รบ
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อความทวิตเตอร์ (X) ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้รับรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา ที่มีคนไทยและชาติอื่นๆ ติดอยู่ในเมืองเล่าก์ก่ายจากการสู้รบ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ได้ประสานทางการเมียนมาให้ช่วยเหลือคนไทยจำนวน 162 คน และจัดให้พักในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ขณะนี้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง กำลังหารือกับทางการเมียนมาเพื่อช่วยให้คนไทยทั้งหมดกลับไทยโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรี สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ให้ช่วยเหลือ ดูแลสวัสดิภาพคนไทยที่ได้รับผลกระทบ ให้ได้รับความปลอดภัย เดินทางกลับประเทศไทยโดยเร็ว
เศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว
กรมบัญชีกลาง พร้อมจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำ
นางสาวทิวาพร ผาสุข รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลาง แต่งตั้งคณะทำงานปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ 2 รอบ โดยประชุมร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือในส่วนของข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแต่ละหน่วยงาน การส่งข้อมูลหักรายจ่ายและข้อมูลหักหนี้ให้กับส่วนราชการและการปรับระยะเวลาการปฏิบัติงานของส่วนราชการ โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติงานของส่วนราชการ เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของส่วนราชการและได้รับผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนกระบวนงานน้อยที่สุด
การจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำเป็น 2 รอบต่อเดือน เป็นทางเลือกตามความสมัครใจสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำ หากมีความประสงค์จะรับเงิน 2 รอบจะต้องกรอกแบบแจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนแปลงการรับเงินเดือน/ค่าจ้างประจำ ตามแบบฟอร์มที่กรมบัญชีกลางกำหนด ยื่นต่อส่วนราชการของตนเองคือ ข้าราชการให้ยื่นตั้งแต่วันที่ 1 – 15 ธันวาคม 2566 และลูกจ้างประจำให้ยื่นตั้งแต่วันที่ 1 – 15 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มโครงการ ผู้ที่ไม่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงการรับเงินเดือน/ค่าจ้างประจำ (รับ 1 รอบเช่นเดิม) ไม่ต้องยื่นแบบแสดงความประสงค์แต่อย่างใด
ส่วนในปีต่อไป สามารถยื่นแบบแสดงความประสงค์ขอเปลี่ยนแปลงการรับเงินเดือน ได้ปีละ 1 ครั้ง ระหว่างช่วงวันที่ 1 – 15 ธันวาคมของทุกปี ทั้งนี้ จะเริ่มจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 และจ่ายค่าจ้างประจำ 2 รอบ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป วันจ่ายเงินรอบแรกกำหนดโอนเงินวันที่ 16 ของทุกเดือน หากวันที่ 16 ตรงกับวันหยุดราชการจะเลื่อนเป็นวันทำการก่อนวันที่ 16 สำหรับวันจ่ายเงินรอบสองกำหนดโอนเงินในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนสามวันทำการ (กำหนดวันเดิม)
โฆษกกรมบัญชีกลาง ย้ำว่า การปรับการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างประจำ 2 รอบ เป็นทางเลือกสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่รับเงินเดือนและค่าจ้างประจำผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจำของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-Payroll) เท่านั้น ไม่รวมการจ่ายเบี้ยหวัดบำนาญของผู้รับบำนาญ
ขอเตือนภัยผู้รับบำนาญอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าจากกรมบัญชีกลาง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โทรหาและแจ้งเรื่องการจ่ายเงินเดือน หรือบำนาญ 2 รอบ แล้วให้ดำเนินการต่างๆ เพราะกรมบัญชีกลางไม่มีนโยบายส่งข้อความ หรือโทรศัพท์หาผู้รับบำนาญเพื่อให้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการจ่ายบำนาญ 2 รอบ
American Film Market 2023 : AFM2023 เผยแพร่วัฒนธรรมไทย ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าประเทศ
นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า กรมการท่องเที่ยว โดยกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ จัดงาน American Film Market ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน นี้ ณ เมืองซานตาโมนิกา สหรัฐอเมริกา เป็นงานเทศกาลภาพยนตร์ขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของโลก จัดขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ตกลงซื้อ – ขาย และแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาพยนตร์ของผู้ผลิตภาพยนตร์และผู้สนใจจากทั่วโลก เพื่อประชาสัมพันธ์ศักยภาพในการเป็นแหล่งถ่ายทำภาพยนตร์ ศักยภาพของทีมงานชาวไทย มาตรการสร้างแรงจูงใจ ในรูปแบบการคืนเงิน ร้อยละ 15 – 20 และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศของแต่ละประเทศ รวมถึงเผยแพร่วัฒนธรรมของไทย Soft Power ด้านต่างๆ ผ่านการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
อีกทั้งจากสถิติในปี 2566(ข้อมูล ณ วันที่ 29 กันยายน 2566) พบว่า มีผู้ผลิตภาพยนตร์จากสหรัฐอเมริกาเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่ง จำนวน 39 เรื่อง สร้างรายได้กว่า 3,900 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจัดงาน American Film Market 2023 : AFM2023 ในครั้งนี้ มีผู้สนใจเข้ามาลงทุนตลอด 2 วันแรก จำนวนกว่า 30 ราย คาดการณ์ว่าจะมีคณะถ่ายทำภาพยนตร์ที่เข้าร่วมงานและสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 2,000 ล้านบาท
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถค้นหาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยได้ที่ Facebook : TFO Thailand Film Office
เกษตรกรรม/สิ่งแวดล้อม
กรมการข้าว สรุปความก้าวหน้าโครงการ BCG Model ย้ำยึดหลักการตามระเบียบและถูกต้อง
นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้กรมการข้าว ดำเนินโครงการส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก BCG Model โดยมีเป้าหมายศูนย์ข้าวชุมชน 292 ศูนย์ วงเงิน 874.832 ล้านบาท ซึ่งในการอนุมัติกรอบวงเงินดังกล่าว เป็นการอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตามแผนความต้องการของศูนย์ข้าวชุมชน (ตามเกณฑ์ราคา) แต่เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว ศูนย์ข้าวชุมชนจะต้องดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างเครื่องจักรกลการเกษตรและวัสดุเกษตร ให้เป็นไปตามคู่มือการปฏิบัติงานโครงการส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก BCG Model และตรวจสอบได้
นอกจากนั้น การอนุมัติกรอบวงเงิน จะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการส่งเสริมสนับสนุนการลดต้นทุนการผลิตให้กลุ่มชาวนาผู้ปลูกข้าวโดยการทำนาแบบประณีต หรือการใช้ระบบชีวมวล ชีวภาพและจุลินทรีย์ ที่ปราศจากการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูข้าวและปุ๋ยเคมี รวมทั้งการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร
ซึ่งกรมการข้าวได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน 552,643,361 บาท ให้แก่ศูนย์ข้าวชุมชน 212 ศูนย์ เพื่อนำไปจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรและวัสดุเกษตร ตามแผนความต้องการและใช้ในการลดต้นทุนการผลิตข้าวเรียบร้อยแล้ว โดยศูนย์ข้าวชุมชนจำนวน 1 ศูนย์ ไม่ผ่านการพิจารณาอนุมัติและมีศูนย์ข้าวชุมชนเป้าหมายจำนวน 79 ศูนย์ที่ไม่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ
สังคม
“รมต.พวงเพ็ชร” ผลักดันกรมประชาสัมพันธ์ขึ้นเป็นสื่ออันดับ 1 ของประเทศ ย้ำรายงานข่าวต้องเป็นข่าวจริง รวดเร็ว ตรวจสอบได้ เชื่อถือได้
นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ติดตามการดำเนินงานและมอบนโยบายคณะผู้บริหารและข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ โดยมีนางสุดฤทัย เลิศเกษม รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และคณะผู้บริหารกรมประชาสัมพันธ์ ให้การต้อนรับ
กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐบาลกับประชาชน โดยนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความรู้ข้อเท็จจริง และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อเสนอรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีแนวคิดหลักในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง 100% และต้องเป็นประโยชน์กับประชาชน
กรมประชาสัมพันธ์ มีอัตรากำลังทั่วประเทศ 3,876 คน มีการบริหารทั้งส่วนกลาง ส่วนกลางในภูมิภาคและส่วนภูมิภาค มีหน่วยสื่อหลัก 4 หน่วยคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สำนักข่าว สำนักพัฒนาการประชาสัมพันธ์ ปัจจุบันกรมประชาสัมพันธ์ มีการปรับตัวสู่การสื่อสารยุคดิจิทัล โดยมีช่องทางการประชาสัมพันธ์ออนไลน์และโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม
นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้พบปะบุคลากรกรมประชาสัมพันธ์ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ติดตามการมอบนโยบายผ่านระบบออนไลน์ ส่วนตัวมองว่ากรมประชาสัมพันธ์เป็นหน่วยสื่อของรัฐที่มีความสำคัญ เป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างรัฐกับประชาชน ตนเองมองว่าแนวทางในการพัฒนากรมประชาสัมพันธ์คือ การสร้างภาพลักษณ์ให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นสื่ออันดับหนึ่งที่ประชาชนติดตามโดยเฉพาะเรื่องข่าวสาร โดยการนำเสนอข่าว ต้องเป็นข่าวจริง รวดเร็ว ตรวจสอบได้และมีความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันต้องส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีออกไปสู่ต่างชาติ สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้ ได้เสนอให้มีการเปิด “Open Space” ซึ่งเป็นพื้นที่ให้คนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการนำเสนอเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์และเป็นการดึงกลุ่มผู้ชมคนรุ่นใหม่ ให้หันกลับมาติดตามสื่อของกรมประชาสัมพันธ์มากยิ่งขึ้น
ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ธนพิชฌน์ แก้วกา
ผู้เรียบเรียง : ธนพิชฌน์ แก้วกา
แหล่งที่มา : หน่วยงานสำนักข่าว