สมเจตน์ ลุกขอเพื่อไทย เสียสัตย์อีกครั้งได้ไหม ถอยนโยบายแก้รธน.ทันที แล้วจะโหวตให้
‘สมเจตน์’ ข้องใจ ‘เพื่อไทย’ เร่งแก้รธน.ล้างผิดคดีทุจริต ขณะที่ ‘พรรคเล็ก’ ยก 10 ล้านเสียงข่มส.ว. ถามจะไม่รู้จัก ‘เศรษฐา’ ได้อย่างไร
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นผู้เสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท. เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้รับรอง 287 คน ถือว่าถูกต้อง
Advertisment
ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว. อภิปรายว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) มีแนวคิดแก้รัฐธรรมนูญทันทีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก จึงอยากถามว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มีปัญหาอะไรให้ต้องเร่งแก้ไข เป็นเพราะรัฐธรรมนูญนี้มีกลไกป้องกันนักการเมืองทุจริตเข้มงวด อาทิ ตัดสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิต การให้คดีทุจริตไม่มีอายุความ กลไกเหล่านี้ทำให้พรรค พท.ที่มักมีปัญหาทุจริต คนสำคัญบางคนต้องหลบหนีคดีเพราะไม่มีอายุความ จำเป็นต้องเดินทางกลับประเทศไทยมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น หากมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ กลไกขจัดนักการเมืองทุจริตจะหายไป
สอดคล้องความต้องการบางพรรคการเมืองที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญหมวดสถาบัน การแบ่งแยกราชอาณาจักร การทำประชามติรัฐธรรมนูญใหม่จะยิ่งสร้างความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น เพราะการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างอำนาจองค์กรอิสระ ลบล้างความผิดให้นักการเมืองทุจริต เพิ่มประเด็นความขัดแย้งมากขึ้น จะกระทบความมั่นคงชาติร้ายแรงมากกว่าการแก้มาตรา 112 เสียอีก
“ดังนั้น ถ้าเป็นเช่นนี้จะให้ผมสนับสนุนนายกรัฐมนตรี พรรค พท.ได้อย่างไร จึงขอกล่าวถึงแกนนำพรรค พท.ว่า ท่านได้เสียสัตย์เพื่อประเทศชาติมาแล้วหลายครั้ง เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้สำเร็จ โดยอ้างเหตุของการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ซึ่งผมเข้าใจและเห็นใจ แต่ถ้าท่านจะเสียสัตย์ให้ประเทศสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง ยืนยันจะไม่เสนอแก้รัฐธรรมนูญทันที แต่จะเสนอในห้วงเหมาะสม เมื่อสังคมสงบสุข การเสียสัตย์ครั้งนี้จะได้รับคำสรรเสริญทำเพื่อประเทศ ถ้าทำเช่นนี้จะสนับสนุนนายกรัฐมนตรี พท.” พล.อ.สมเจตน์กล่าว
ด้าน นายกิตติ วะสีนนท์ ส.ว. อภิปรายว่า อยากขอความกระจ่างเรื่องความชัดเจนในเรื่องนโยบายต่อการคอร์รัปชั่น เพราะเท่าที่ฟังยังไม่มีความชัดเจนจากพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล ในการที่เอาเรื่องการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบขึ้นมาเป็นนโยบายหลัก ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะแก้อย่างไร และมีวัตถุประสงค์อย่างไร และขอความชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่ง นโยบายประชานิยมเป็นที่ทราบดีว่าสร้างปัญหาให้กับหลายประเทศ แม้แต่ประเทศตะวันตก หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว และเป็นปัญหาเรื้อรัง ซึ่งมีผู้ใหญ่ในวงการเงินออกมาย้ำเตือนว่า เราอาจจะไม่ต้องการนโยบายเหล่านั้น เพราะเราผ่านวิกฤตโควิต-19 มาและกำลังฟื้นตัว การที่จะเข้าไปช่วยเหลือคงไม่ใช่การช่วยเหลือแบบเอาเงินอัดเข้าไป แต่เป็นการช่วยตามจุดที่เห็นว่ายังมีความต้องการอยู่ ซึ่งการที่ไม่ทำในลักษณะเจาะจงอาจจะสร้างปัญหาด้านความมั่นคง และวินัยการคลังและการเงิน
นายกิตติกล่าวต่อว่า เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจจะมีปัญหาอื่นตามมา เช่น เงินเฟื้อ เพราะเหมือนเป็นการสร้างอุปทานเทียมขึ้นมา ถ้าทำเช่นนั้นจะมีมาตรการอะไรป้องกันเพราะสิ่งที่รัฐบาลจะสร้างขึ้นอาจไม่ได้อยู่ในระบบการเงิน การคลังปกติ แต่เป็นเงินดิจิทัลลักษณะเหมือนบิตคอยน์ ดังนั้น หากรัฐบาลจะทำนโยบายนี้จะมีมาตรการอะไรมาป้องกัน ขอฝากไปยังพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลว่า ลองพิจารณาปรับการอัดฉีดเงินให้เป็นกลุ่มเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น กลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มที่ต้องการพลิกฟื้นหลังโควิด กลุ่มที่ต้องการพัฒนาอย่างเร่งด่วน