หมากกล “ก้าวไกล” ถอย ม.112 เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อล้ม หวังแลนด์สไลด์รอบหน้า
“สนธิ” มองเกม “ก้าวไกล” ต้องร่วมรัฐบาลให้ได้ จึงแอบดีลทักษิณ ยอมถอยเรื่อง ม.112 เพื่อเข้าคุมกระทรวงที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แล้วไม่เกิน 6 เดือนจะหาเรื่องล้มรัฐบาลเสียเอง เพื่อให้มีเลือกตั้งใหม่ หวังแลนด์สไลด์กวาดมากกว่า 300 เสียง ขึ้นเป็นรัฐบาลเพื่อเร่งกระบวนการ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเกมการเมืองของพรรคก้าวไกลในขณะนี้ว่า มาเหนือชั้นมากๆ เพราะเป็นเกมที่พรรคอื่นๆ รวมถึงองคาพยพของชนชั้นนำไทยแก้ได้ยาก หรือ แก้ไม่มีทางได้ ไม่ว่าจะเดินแบบไหน ก็ตาม
1.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เลือกที่จะถือหุ้นไว้ทั้งที่รู้อยู่แล้ว ว่าจะโดนร้อง และให้เด็กของก้าวไกลไปทำทีขอคำปรึกษาจากนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เพื่อให้นักร้องทำงานในโค้งสุดท้าย ซึ่งทำให้กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับ จึงทำให้คะแนนของก้าวไกลพุ่งขึ้นต่อในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ซึ่งตอนนั้นจากโพลความมั่นคง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกลมีคะแนนอยู่โดยได้ ส.ส.ประมาณ 130 คน(จากการสัมภาษณ์ของนายเรืองไกร)
2.บีบให้เพื่อไทย เล่นเกม “มีลุงไม่มีเรา” ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า มีดีลกันอยู่กับลุงหนึ่งคน ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาแล้ว แต่เมื่อเพื่อไทยตกหลุมมาเล่นแล้ว ถ้าพลิกลิ้นชะตากรรมรอบต่อไปก็คงไม่ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ในรอบนี้ เหลือ ส.ส.แค่ 25 คน ในนั้นมี ส.ส.บัญชีรายชื่อแค่ 3 ที่นั่ง
3.พรรคก้าวไกล ชิงบอกจุดยืนว่าถ้าเพื่อไทยเป็นอันดับหนึ่ง และไม่มีลุง จะยกมือให้โดยที่ไม่ต้องร่วมรัฐบาลก็ได้ ทำให้เพื่อไทยแจ้งในดีเบตทุกเวทีว่าจุดยืนพรรคคือ พรรคอันดับหนึ่งต้องจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น
4.พอพลิกเกมชนะได้ พรรคก้าวไกล ไม่ชวนพรรคภูมิใจไทย เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางมาแน่ๆ โดยเดินเกมต่อไป ตามที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เคยให้สัมภาษณ์กับเนชั่น ไว้ว่าปี 2570 จะเป็นปีที่ก้าวไกลได้เกินครึ่งสภา โดยหวังว่าจะแบบ ออง ซาน ซูจี ของพม่า หรือ ฮวน เปรอง ของอาร์เจนตินา
5.ประการต่อมาพอจะร่วมจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคแล้ว นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลก็บอกว่าจะไม่ยกตำแหน่งประธานสภาให้เพื่อไทยเด็ดขาด และนี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้กฎหมายต่างๆ ที่เตรียมไว้ 40 กว่าฉบับ ไปให้ ส.ส.ก้าวไกลไปกวาดคะแนนเพิ่มไว้รอบหน้า
6. ต่อมาถ้าจะใช้กฎหมาย ซึ่งทางก้าวไกลบอกว่าเป็นนิติสงคราม “เด็ดหัวพิธา” ด้วยประเด็นหุ้น iTV ก็จะยิ่งสร้างความไม่พอใจให้มวลชน และประชาชนที่เขาปูพื้นเอาไว้แล้วโดยล่าสุด ก็ปั่นกระแสว่า “ศาลเดียวที่เคารพคือศาลพระภูมิ” และก้าวไกลก็เตรียมเกมต่อเอาไว้แล้วก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งจะลดทอนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงองค์กรอิสระต่าง ๆ ลงอย่างมากมาย
7.ต่อให้ศาลจะสั่งให้ “พิธา” หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือ ยุบพรรคก้าวไกล หรือ ตัดสิทธิ์ ส.ส.ก้าวไกล ทั้งประเทศ 150 กว่าคน ตัดสิทธินายพิธา และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล 10 ปี ก็จะยิ่งเชิดชูให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล รับบทพระเอกเต็มตัวไปช่วยคณะก้าวหน้าไปหาเสียงการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศได้อีก เพื่อปูทางสู่ 300 เสียงในรอบหน้า ศาลรัฐธรรมนูญก็จะเสื่อมไปถึงที่สุดจากคนไทย แบบผีก็ไม่เผา เงาก็ไม่เหยียบ
8.ส่วนพรรคเพื่อไทย ที่โดนผูกมือ ผูกเท้า จากเกมก่อนหน้าอยู่ จะหักหลังไปแย่งตั้งรัฐบาลเอง ชะตากรรมก็จะกลายเป็นแบบ “พรรคประชาธิปัตย์” เพราะว่าถ้าไม่เอา “รวมไทยสร้างชาติ” ไม่เอา “พลังประชารัฐ” คะแนนเสียงก็ไม่มีทางพอ
9.ข่าวที่ว่ากันว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่มีทางมาจับกับ “พรรคเพื่อไทย” แน่นอน เพราะว่าถ้าประชาธิปัตย์จับ ภาคใต้จะไม่ได้อีกเลย และฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ที่หลงเหลืออยู่ก็จะกลายเป็นฐานเสียงใหม่ของพรรคก้าวไกลในอนาคต(รอบนี้ปาร์ตี้ลิสต์ก้าวไกลได้ภาคใต้มาอันดับหนึ่งเกือบทุกจังหวัด)ซึ่งถ้าเลือกทางนี้ต้นทุนที่เพื่อไทยใช้จะสูงมาก และทำให้เป็นไปตามที่นายธนาธรต้องการในการเลือกตั้งปี 2570
ทั้งนี้ มีข่าวเชิงลึก ระบุว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปฮ่องกง โดยว่ากันว่าเดินทางไปหานายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566 แล้ว ขาออก วันที่ 03 มิถุนายน 2566 ไฟล์ทบิน CZ6036 DMK-SZX (ดอนเมือง-เซินเจิ้น) ขาเข้า วันที่ 6 มิถุนายน 2566 ไฟล์ทบิน VZ3733 MFM-BKK (มาเก๊า-กรุงเทพ)
10.ดังนั้นถ้าเกมการเมืองเป็นเช่นนี้ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งอาจจะเร็วกว่าปี 2570 ก็จะเหลือแต่ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา และ พรรคเล็ก ๆ ที่ได้อีกพรรคละไม่เกิน 5 เสียง
11.ดังนั้นเกมสุดท้ายที่จะเห็น ก็คือ การยื้อจาก สว.ไปให้นานที่สุด แต่ยื้อได้นานสุดก็จะไปถึงแค่เดือนพฤษภาคม 2567 หรืออีกแค่ 10 เดือน เท่านั้น นอกจากนี้เนื่องจากรัฐบาลรักษาการณ์จะไม่สามารถผ่านงบประมาณได้ เดือนมีนาคม 2567 ก็จะไม่มีเงินจ่ายค่าราชการแล้ว ซึ่งฐานเสียงของฝั่งอนุรักษ์นิยมก็จะหดลงไปอีก
12.ทางรอดจากเกมคือ “ล้มกระดาน” ด้วยการรัฐประหาร ที่ไร้ความชอบธรรม และต้นทุนทางสังคมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากรอบนี้ กทม. และ ปริมณฑล สีส้มทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะแก้เกมแบบไหน ภายใน 4-5 ปี ข้างหน้าก้าวไกลจะได้ที่นั่ง 300-400 เสียง แถมด้วย อบจ. อบต. และ นายกเทศมนตรี เกือบทั้งประเทศ พร้อมด้วยฉันทามติที่จะปฎิรูปแบบรื้อรากถอนโคน พลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดิน
นายสนธิวิเคราะห์ ว่า ถ้าเกมเป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่า พรรคก้าวไกลจะได้เปรียบหมด
ถ้าพรรคก้าวไกลร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ไม่เกิน 6 เดือนก็จะล้มหมด ข้ออ้างคือทำงานไม่ได้เพราะเป็นพรรคร่วม ขอแลนด์สไลด์อีกครั้ง สังเกตที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลไม่ขอกระทรวงใหญ่ ขอแต่กระทรวงที่จะเปลี่ยนแปลง เช่น กระทรวงศึกษาธิการมหาดไทย DES เพราะนายธนาธรเป็นคนที่อำมหิต ตั้งใจจะรื้อตั้งแต่รากฐานมัธยม มาเรื่อยๆ ถ้าได้เป็นรัฐบาล ก็จะร่นระยะเวลาในการเปลี่ยนประเทศตามที่ต้องการ
หรือหากพรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านก็ยังคงความได้เปรียบ แต่ต้องรอเวลา 5-10 ปี เพราะการเป็นฝ่ายค้านนั้นไม่ได้มีอำนาจในการควบคุม และจัดการองคพยพหน่วยงานราชการ
ด้วยเหตุนี้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงมีข่าวว่านายธนาธร บินไปพบกับนายทักษิณ ที่ฮ่องกง และ ประเด็นที่ลูกสาวประกาศว่าทักษิณจะกลับเมืองไทยในวันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2566 ที่จะถึงนี้
หวังร่วมเพื่อล้ม? “ก้าวไกล” ดอดพบ “ทักษิณ” ที่ฮ่องกง
มีรายงานว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า หัวหน้าพรรคก้าวไกลตัวจริง บินไปที่เกาะฮ่องกง พบกับนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อพูดคุยตกลงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังเป็นประเด็นร้อน เพราะกลัวว่า “พรรคเพื่อไทย” ที่รับช่วงเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลตอนนี้ จะข้ามขั้วไปร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมแล้วถีบก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งนายธนาธร และบรรดาแกนนำยอมไม่ได้
สาระสำคัญของการพูดคุย ว่ากันว่าที่ธนาธรบินไปคุยกับนายทักษิณ เนื้อหาคือ “ก้าวไกล” ยอมปิดสวิตช์เรื่องแก้ ม.112 ในช่วง 4 ปีข้างหน้า ตามวาระรัฐบาลเอาไว้ก่อน เชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ สว.ยอมรับ และโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขอให้เพื่อไทยอย่าฉีกเอ็มโอยู 8 พรรค ให้ก้าวไกลได้ร่วมรัฐบาลไปด้วย
พอข่าวนี้แพร่กระจายออกไปน.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ แกนนำคณะก้าวหน้า ก็รีบออกมาแก้ตัวว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ “ธนาธร” อยู่เมืองไทย และอยู่ในกรุงเทพฯ นี่เอง ช่วงนี้ข่าวปั่นมันเยอะมาก
เช่นเดียวกับ“ต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ออกมาปฏิเสธแบบไม่ยอมพูดมากว่า”ไม่น่าจะใช่ ไม่น่าจะมีการคุยกันตามที่เป็นข่าว”
แม้ว่าทั้ง “ช่อ และ ชัยธวัช” จะออกมาปฏิเสธข่าว แต่กระแสในโซเชียลฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยังคงร้อนแรง แสดงความคิดเห็นกันดุเดือด และเห็นว่าเป็นไปได้ คือมีการเปิดดีลกันจริง
พอวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 นายธนาธร ก็ออกมาปรากฏตัวเพื่อกลบข่าวลือ โดยเดินทางเข้าไปที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล ไปถึงก็ลงจากรถที่บริเวณลานจอดรถชั้น 2 และเดินเข้าอาคาร ผ่านหน้าผู้สื่อข่าวพร้อมโปรยยิ้มให้ แต่ไม่ยอมตอบคำถาม ว่าได้บินไปฮ่องกง ตามที่มีกระแสข่าวหรือไม่
ถึงกระนั้น บรรดานักข่าวก็ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้นายธนาธร ไม่ได้เข้ามาที่ ที่ทำการพรรค 4-5 วันแล้ว ทั้งที่ปกติแล้วจะมาเป็นประจำ
เรื่องไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะยังมี “นักสืบโซเชียลฯ” ไปได้วัน ว. เวลา น. พร้อมเที่ยวบินที่ ธนาธร ไป-กลับ ฮ่องกง มา
ขาออก วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 ไฟลท์บิน CX700 BKK-HKG(Cathay Pacific)
ขาเข้า วันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ไฟลท์บิน HX773 HKG-BKK(Hong Kong Airlines)
ดีลนี้ มีจริงหรือไม่ ไม่ยืนยัน แต่ประเด็นที่น่าคิดคือ เงื่อนไขที่ยกมาเป็นหัวข้อในการเจรจา กลับกลายเป็นว่า ก้าวไกลยอมถอยสุดซอย ไม่แก้ ม.112 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังยืนกราน หัวเด็ด ตีนขาด ต้องแก้ เพราะได้รับปากประชาชนมาแล้ว ถ้าไม่แก้ 112 ก็ไม่มีก้าวไกล
หากจริง แสดงว่าก้าวไกลยอมที่จะตระบัดสัตย์ต่อประชาชนเพื่อได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
และที่พรรคก้าวไกลกระสันอยากจะร่วมรัฐบาลให้ได้ ก็เพราะ “ร่วมเพื่อล้ม”
เพราะถ้าก้าวไกลได้ร่วมรัฐบาล ไม่เกิน 6 เดือนรับรองล้มทุกอย่าง ข้ออ้างคือทำงานไม่ได้ นโยบายต่าง ๆ ที่ก้าวไกลขายฝันไว้ไม่เดินเพราะเป็นแค่พรรคร่วม แล้วก้าวไกลก็จะไปแว้งกัดเพื่อไทยในสภา
สังเกตที่ผ่านมาก้าวไกลไม่ขอกระทรวงทำเงิน ขอแต่กระทรวงที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ เช่น กระทรวงศึกษาฯ มหาดไทย กระทรวง DES พอได้เข้าไปก็ล้มรัฐบาลเพื่อไทย เพื่อให้ยุบสภาและมีเลือกตั้งใหม่แล้วก้าวไกลก็จะขอแลนด์สไลด์อีกครั้งเพื่อเร่งกระบวนการ
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคพวกแกนนำ ที่ต้องการล้มประเทศ ขุดรากถอนโคนประเทศ และล้มสถาบันกษัตริย์ ในการเลือกตั้งครั้งนี้่ เขาเองยังไม่คิดว่าเขาจะมาได้เยอะขนาดนี้ เมื่อเขามาเยอะ ได้ถึง 151 เสียง ทำให้กระบวนทัศน์ในแนวคิดของการเมืองเขาเปลี่ยนเลย เขาร่นระยะเวลาอีก 5-6 ปี ที่จะสู้อีกครั้งหนึ่ง ให้มันใกล้เข้ามาทันทีเลย ถ้าจะให้มันใกล้เข้ามา เขาต้องทำอย่างไร ?
ประการแรก ถ้าเขาได้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็อยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี 6 เดือนแล้วเขาก็จะยุบสภาฯ โดยเขาจะบอกว่าที่เขาต้องยุบเพราะเขามีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ซึ่งนโยบาย อุดมการณ์ไม่เหมือนเขา มีการโกงกิน ทุจริต คอร์รัปชัน เพราะเขาจะยกกระทรวงที่มีผลประโยชน์
”ทั้งหมดให้พรรคร่วมรัฐบาลไป เขาก็จะมีเหตุผลในการยุบได้ ว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนครับ ผมเข้ามาตามฉันทามติของพ่อแม่พี่น้องประชาชน แต่หกเดือนที่ผมทำงานมานี้ ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ หนึ่ง มีการคอร์รัปชัน สอง นโยบายพรรคก้าวไกลถูกขัดขาตลอด ผมจึงประกาศแจ้งขอให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยประกาศยุบสภาฯ ขอให้พ่อแม่พี่น้องที่รักผม ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีขึ้น เข้ามาร่วมกับผม แล้วลงคะแนนเสียงเลือกพรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียว ตรงนั้นล่ะ เขาอาจจะได้มาถึง 300 กว่าเสียง” นายสนธิกล่าว
แต่เมื่อนายพิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ เกมต่อไปก็คือ เกาะเอาไว้เลย เพื่้อขอเป็นพรรคร่วม เพื่ออะไร ? เพื่อหาโอกาสที่จะล้มรัฐบาลเช่นกัน แต่ล้มรัฐบาลด้วยการสู้กันในสภาฯ แล้วขัดขา แล้วประกาศถอนตัวจากรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลล้ม
“ทั้งหมดนี้มาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจาก 151 เสียง ที่เขาเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้มาเยอะขนาดนั้น พอมา 151 เสียงแล้ว เขาก็เลยจำเป็นที่จะต้องออกแบบการเมืองในแนวใหม่เพื่อกระทำให้ถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ในระยะเวลาที่ใกล้ๆ นี้” นายสนธิกล่าว