‘ไทย’ กำลัง ‘แก่ก่อนรวย’ หลายประเทศในเอเชีย กำลังจะเจอปัญหาแบบเดียวกัน
ปี 2565 เป็นปีที่ 2 ที่ประเทศไทยมีประชากร ‘เกิด’ น้อยกว่า ‘ตาย’
และแม้ว่าเราจะพ้นจากวิกฤตโควิด-19 แต่ดูจากแนวโน้มอัตราการตายในปีนี้
คาดว่าปี 2566 จะเป็นปีที่ 3 ที่ประเทศไทยมีประชากร ‘เกิด’ น้อยกว่า ‘ตาย’ อีกเช่นกัน
ท่ามกลางประชากรวัยแรงงานของประเทศไทยที่กำลังลดลงเรื่อยๆ
KKP Research เคยคาดไว้ว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า (ปี 2050) จะลดลงอีก 11 ล้านคน อันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไม่อาจเลี่ยง
รายงานล่าสุดจาก The Economist เชื่อว่า ประเทศไทยกำลัง ‘แก่ก่อนรวย’
และไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่อีกหลายๆ ประเทศในเอเชียก็กำลังเจอกับปัญหาแบบเดียวกัน
[ ตอน ‘ญี่ปุ่น’ เข้าสู่สังคมสูงอายุ เขารวยกว่าไทย 5 เท่า ]
อย่างแรกต้องเริ่มจากย้อนมาดูสัดส่วนประชากรสูงวัยในไทยก่อน
ปัจจุบันคนไทยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนสูงกว่า 14% แล้ว
โดยตัวเลข ‘14%’ หมายถึง ประเทศไทยผ่านเกณฑ์การเข้าสู่ ‘สังคมสูงอายุ’ แล้ว
เหมือนกันกับที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และชาติตะวันตกหลายๆ ชาติ
แต่ปัญหาคือ ‘รายได้’ ของประชากรไทย
เพราะประเทศไทยมี GDP per Capita หรือรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียง
7,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.5 แสนบาทต่อปีเท่านั้น
แต่ย้อนกลับไปตอนที่ ‘ญี่ปุ่น’ มีสัดส่วนผู้สูงอายุเท่ากับไทยตอนนี้
ตอนนั้น ‘ญี่ปุ่น’ รวยกว่าไทยในตอนนี้ประมาณ 5 เท่า
ดังนั้น ไทยจึงกำลังจะเจอกับสถานการณ์ ‘แก่ก่อนรวย’
[ คนทำงานน้อย ผู้สูงวัยเยอะ รัฐต้องแบ่งงบดูแล ]
‘ประชากรวัยทำงาน’ คือ ของขวัญของประเทศ เพราะยิ่งมีคนทำงานมากเท่าไร ผลิตผลของประเทศก็เพิ่ม นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และโอกาสยกระดับประเทศจากประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง
ถ้าจำนวนแรงงานจะน้อยลงและไม่มีมาตรการรับมือ
ประสิทธิภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะลดลงด้วย
‘แก่ก่อนรวย’ จึงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการพัฒนาประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ ‘รัฐบาล’ จะต้องใช้งบประมาณมากขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งในแง่ของสุขภาพและเงินบำนาญ ทำให้การลงทุนด้านทักษะแรงงานและด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มผลิตภาพทำได้ยากขึ้น
[ หลายประเทศในเอเชีย บนเส้นทาง ‘แก่ก่อนรวย’ ]
ไม่ใช่แค่ ‘ไทย’ เพราะว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียอย่าง ‘อินโดนีเซีย’ และ ‘ฟิลิปปินส์’ เองมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ ‘สังคมสูงอายุ’ ด้วยระดับรายได้ที่ยังคงต่ำกว่าประเทศร่ำรวย
เช่นเดียวกันกับ ‘ศรีลังกา’ ที่ตอนนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียงแค่ 1 ใน 3 ของไทย แต่กำลังจะกลายเป็นสังคมสูงอายุภายในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2028)
รายงานจาก The Economist บอกว่า ปี 2503-2539 (ปีก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง) ‘เศรษฐกิจไทย’ ขยายตัวราว 7.5% ต่อปี เป็นการเจริญเติบโตที่ดี แต่น้อยกว่า ‘ญี่ปุ่น’ ที่เศรษฐกิจเคยเติบโตถึง 2 หลักในปีที่เศรษฐกิจบูมมาก
ในขณะที่ประชากรสูงอายุในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่ม 2 เท่าจาก 7% เป็น 14% ในระยะเวลาแค่ 20 ปี
‘ญี่ปุ่น’ ต้องใช้เวลา 24 ปีถึงมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงเพิ่มจาก 7% เป็น 14%
‘อเมริกา’ ต้องใช้เวลา 72 ปีถึงมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงเพิ่มจาก 7% เป็น 14%
‘ยุโรปตะวันตก’ ส่วนใหญ่ใช้เวลาเกิน 100 ปีถึงมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงเพิ่มจาก 7% เป็น 14%
แต่อาการ “คนแก่เร็ว แต่เศรษฐกิจโตช้า” กำลังเกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนามากมายในเอเชีย
‘เวียดนาม’ ตอนนี้รวยน้อยกว่าไทยครึ่งหนึ่ง แต่จากการประเมินคาดว่าการเติบโตของสัดส่วนผู้สูงวัยจะเร็วกว่าที่ไทยเคยผ่านมา
‘อินเดีย’ มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก
แต่ก็ไม่เร็วเท่าไทยช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรือง
ปี 2553-2563 เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเฉลี่ย 6.6% ต่อปี
แต่สัญญาณเตือนคือตอนนี้บางรัฐทางใต้ใน ‘อินเดีย’ มีประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในสัดส่วน 17% แล้ว
The Economist เสนอทางออกหลักๆ 2 ข้อ คือ
1 – ประเทศที่ยังมี ‘วัยทำงาน’ เป็นจำนวนมากจำเป็นจะต้องเร่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
อย่าง ‘อินเดีย’ ที่ตอนนี้อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาล ‘นเรนทรา โมดี’ ที่เข้มแข็งและให้ความสำคัญต่อภาคธุรกิจ แปลว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับอินเดียที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ
คาดว่าหลังจากการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ‘อินเดีย’ จะเปลี่ยนแปลงนโยบายการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อคว้าโอกาสในการเป็นฐานการผลิตใหม่ในช่วงที่ชาติตะวันตกพากันย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
2 – ประเทศกำลังพัฒนาที่จะ ‘แก่ก่อนรวย’ จะต้องเริ่มวางแผนการดูแลผู้สูงวัยตั้งแต่เนิ่นๆ
โดยแผนการดูแลผู้สูงวัยจะต้องรวมหลายๆ อย่างตั้งแต่
– การปฏิรูประบบบำนาญ
– การเพิ่มอายุเกษียณ
– การดูแลตลาดเงินตลาดทุน
– การเพิ่มทางเลือกสำหรับการออมระยะยาว-ประกันสุขภาพ
– การวางกฎระเบียบสำหรับการดูแลทางสังคม (social care)
– การเปิดรับผู้อพยพย้ายถิ่นและการเคลื่อนย้ายถิ่นภายในประเทศ
ก่อนหน้านี้ ‘แก่ก่อนรวย’ ก็เป็นปัญหาที่นักเศรษฐศาสตร์ไทยหยิบยกขึ้นมาพูดบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเกิดน้อยกว่าตายที่สะท้อนว่านอกจากประชากรสูงวัยจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นทุกปีๆ แล้ว ประชากรเกิดใหม่ที่จะมาเป็นกำลังแรงงานของชาติในอนาคตก็ลดน้อยถอยลงด้วย
โดยในปี 2022 KKP Research เองก็เคยบอกว่า ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบหลักๆ 3 ด้าน คือ
– ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะทวีความรุนแรงขึ้น
– ภาระทางการคลังสำหรับคนสูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 10 ปีข้างหน้า
– ความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิตจะแย่ลงมากจากการขาดแคลนแรงงาน
พร้อมเสนอกลยุทธ์ระยะยาวสำหรับประเทศไทยหลายข้อ อาทิ
– เปิดเสรีนโยบายการย้ายถิ่นฐาน (Immigration Policy) ชดเชยปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีทักษะ
– เปิดเสรีในภาคบริการ ชดเชยการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม เพราะในอนาคตภาคอุตสาหกรรมไทยจะชะลอตัวลงจากการเปลี่ยนแปลงในประเทศและโลก การแข่งขันในภาคบริการจะช่วยส่งเสริมการลงทุนและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคบริการไทย
– ปฏิรูปทางการเมืองเพื่อลดปัญหาคอร์รัปชั่นและเพิ่มการแข่งขัน การพัฒนาในเรื่องอื่นๆ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการปฏิรูปสถาบันการเมืองที่นำไปสู่การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น การเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และการลดการคอร์รัปชัน จะเป็นทางออกสำคัญของเศรษฐกิจไทย
โดยก่อนเข้ามาทำงาน ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ ก็เคยพูดถึงการแก้ปัญหา ‘แก่ก่อนรวย’ โดยระบุเป้าหมาย คือ จะทำให้คนไทย ‘รวยก่อนแก่’ เน้นสร้างรายได้ แก้ปัญหาระดับโครงสร้างผ่าน ‘ชุดนโยบายของพรรคเพื่อไทย’ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ประกอบด้วย
– กระเป๋าเงินดิจิทัล กระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาความเดือนร้อนให้ทุกคน
– 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพซอฟท์เพาเวอร์ สร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านตำแหน่ง ผู้สูงอายุคนเกษียณก็ยังสามารถทำงาน สร้างรายได้ มีศักดิ์ศรี
– เพิ่มรายได้ภาคเกษตร เพิ่มรายได้ 3 เท่าตัว เพราะผู้สูงอายุและกำลังจะเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ อยู่ในภาคเกษตร
– อัพเกรด 30 บาทรักษาทุกโรค บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทั่วไทย ผู้ป่วยติดเตียง-ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาลทั้งที่บ้านและศูนย์ชีวาภิบาลของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติโดยไม่ต้องลางาน
– Learn to Earn เรียนเพื่อสร้างรายได้ เรียนรู้ง่ายตลอดชีวิต จับคู่สมรรถนะของคนเข้ากับงานที่ใช่ เพื่อช่วยให้มีงานทำเร็วที่สุด ตรงกับสมรรถนะของตนเองมากที่สุด และสร้างรายได้ที่ดีที่สุด
สถานการณ์แก่ก่อนรวยในไทยและในเอเชียจึงยังเป็นสถานการณ์ที่จะต้องจับตามองว่าจะก้าวไปสู่เส้นทางไหนและอย่างไรต่อไป
‘แก่ก่อนรวย’ จะกลายเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงของสังคมไทยและอีกหลายประเทศทั่วเอเชีย ชวนทุกคนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจ กับ Corporate Innovation Summit 2023 (CIS2023) งานอีเวนต์ที่รวมนักธุรกิจ ‘ระดับโลก’ มาไว้ในไทยมากที่สุดที่กำลังจะจัดขึ้นในวันที่ 14-15 พฤศจิกายนนี้ที่ True Digital Park
พิเศษ! กรอกโค้ด ‘TODAY’ ที่ช่องสั่งซื้อหน้าเว็บไซต์ Eventpop รับส่วนลดทันที 1,000 บาทจากราคาปกติ สนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือซื้อบัตร คลิก https://www.eventpop.me/e/16216/cis2023?utf8=%E2%9C%93&discount_code=TODAY
ที่มา