ข่าวสารกรุงเทพฯ

#MGRTOP7 : Unhappy Golden Week in Thailand | สงครามฮามาสถล่มอิสราเอล




รวบตึงทุกเรื่องราว คัดข่าวเด็ด เบ็ดเสร็จในที่เดียว … MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง mgronline.com

(สรุปข่าวประจำวันที่ 1 – 8 ต.ค. 2566)


อันดับ 1 : Unhappy Golden Week in Thailand กราดยิงพารากอนการท่องเที่ยวพังยับ รัฐ-เอกชนเยียวยา

เมื่อเย็นวันที่ 3 ต.ค. เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อเยาวชนรายหนึ่งใช้สิ่งเทียมอาวุธปืนดัดแปลงกราดยิงภายในศูนย์การค้าสยามพารากอน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ น.ส.จ้าว จินหนาน อายุ 34 ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน และ น.ส.เมา เมจิน อายุ 30 ปี ลูกจ้างชาวเมียนมา และมีผู้บาดเจ็บ 5 ราย หนึ่งในนั้นอาการสาหัส 2 ราย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ขณะที่สถานทูตจีนประจำประเทศไทย เข้าตรวจสอบสถานการณ์ และทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย ซึ่งฝ่ายจีนยินดีที่ทำงานร่วมกับฝ่ายไทย เพื่อความปลอดภัยของชาวจีนที่อยู่ในไทย

ด้านรัฐบาลร่วมมือกับศูนย์การค้าสยามพารากอนจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียชีวิต 2 ราย รายละ 6,200,000 บาท ส่วนผู้บาดเจ็บ 5 ราย รายละ 350,000 บาท ส่วนผลกระทบด้านการท่องเที่ยว พบว่าโลกโซเชียลจีนแห่แชร์เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้คำค้นหา “เหตุยิงที่ห้างพารากอนทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต” ขึ้นเทรนด์อันดับ 2 ของเวยปั๋ว ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งยกเลิกแผนการเดินทางมายังประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งที่เดินทางในช่วงวันหยุดยาวของจีน หรือช่วงโกลเดนวีค (Golden Week) ตัดสินใจยกเลิกโปรแกรมเที่ยวทั้งหมดและกลับประเทศ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกำลังหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่

อนึ่ง เยาวชนรายดังกล่าว ถูกตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามฆ่า มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต


อันดับ 2 : สงครามฮามาสถล่มอิสราเอลยิงจรวดกว่า 5 พันลูก-มือปืนบุกกราด คนไทยเสียชีวิต 12 ถูกลักพาตัว 11

เมื่อวันที่ 7 ต.ค. กลุ่มติดอาวุธฮามาส ซึ่งปกครองฉนวนกาซา เปิดฉากปฏิบัติการยิงจรวดต่อเนื่องกว่า 5,000 ลูก มุ่งหน้าไปทางอิสราเอล พร้อมส่งกลุ่มมือปืนแทรกซึมก่อเหตุโจมตีในเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล ยิงผู้คนที่ผ่านไปมา ประชาชนหลายร้อยคนในฉนวนกาซา ต้องหนีออกจากบ้านเพื่อย้ายออกจากชายแดนที่ติดกับอิสราเอล ด้านกองทัพอิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มฉนวนกาซา เพื่อตอบโต้กลุ่มติดอาวุธฮามาสในดินแดนปาเลสไตน์ ด้านนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล กล่าวว่าพลเมืองอิสราเอล เราอยู่ในสงคราม ไม่ใช่ปฏิบัติการ ไม่ใช่การแข่งขัน อยู่ในสงคราม

ยอดผู้เสียชีวิตอย่างไม่เป็นทางการทั้งจากอิสราเอลและปาเลสไตน์ กว่า 500 ราย บาดเจ็บมากกว่า 3,000 ราย นอกจากนี้ ยังมีแรงงานไทยถูกจับเป็นตัวประกัน ด้านกองทัพอากาศได้เตรียมเครื่องบิน 6 ลำ ประกอบด้วย A340 1 ลำ และ C130 5 ลำ พร้อมเดินทางทันที โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รวบรวมรายชื่อของคนไทยทุกคนที่อยู่ในอิสราเอล และได้ให้กระทรวงการต่างประเทศแสวงหามิตรประเทศรอบข้างอิสราเอล เพื่ออพยพคนไทยไปอยู่ในเขตที่ปลอดภัยก่อนที่จะอพยพกลับไทย ส่วนกระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า มีคนไทยเสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 8 คน หนึ่งในนั้นสาหัส 2 คน ถูกลักพาตัว 11 คน

อิสราเอลปิดล้อมฉนวนกาซาตั้งแต่ปี 2550 หลังจากกลุ่มติดอาวุธฮามาสเข้ายึดอำนาจ มีการทำสงครามทำลายล้างหลายครั้งนับแต่นั้นเป็นต้นมา ชนวนเหตุล่าสุดเมื่อเดือน ก.ย. อิสราเอลปิดจุดผ่านแดนในฉนวนกาซานาน 2 สัปดาห์ จนเกิดการจราจล


อันดับ 3 : ค้านเงินดิจิทัล 1 หมื่น อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติชี้ได้ไม่คุ้มเสีย เศรษฐายันไม่ยกเลิก เพื่อไทยวอนเห็นใจคนจน

นโยบายเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย ที่จะใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท ถูกคัดค้านอย่างหนัก เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นายวิรไท สันติประภพ และนางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าฯ ธปท. ร่วมกับคณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ และนักวิชาการรวม 99 ราย ออกแถลงการณ์คัดค้านและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก “นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” เพราะได้ไม่คุ้มเสีย โดยเห็นว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ อีกทั้งงบประมาณของรัฐที่มีจำกัด เสียโอกาสที่จะลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นการคาดหวังกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกินจริง

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยืนยันว่าไม่ยกเลิก เพราะมีประชาชนหลายพื้นที่แสดงเจตจำนงว่าอยากได้ แต่พร้อมน้อมรับข้อเสนอไปพิจารณาเพื่อปรับปรุง ยืนยันไม่ใช่โครงการหาเสียงโปรยเงินให้ประชาชน ขณะที่บรรดานักการเมืองพรรคเพื่อไทยต่างออกมาปกป้อง และวอนเห็นใจประชาชนที่ต้องการเงินจำนวนดังกล่าวมาช่วยเหลือค่าครองชีพ และเป็นเงินลงทุนสร้างงานสร้างอาชีพ ส่วนสำนักวิจัยซูเปอร์โพลระบุว่า ส่วนใหญ่ 42% ไม่แน่ใจต่อความเชื่อมั่นเพราะรัฐบาลไม่ชัดเจนเอาเงินมาจากที่ไหน ใครได้ใครเสีย ป้องกันทุจริต สวมสิทธิ์รับเงิน ส่วน 32.1% เชื่อมั่น และ 25.9% ไม่เชื่อมั่น



Source link